สี สำหรับงานเฟอร์นิเจอร์
ในหลายๆปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมสี ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนารูปแบบการปกป้องพื้นผิว และเพิ่มรูปแบบสีสัน เพื่อช่วยแสดงออกถึงความรู้สึกทางอารมณ์ ทำให้มีการพัฒนาสีประเภทต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากอดีตถึงปัจจุบัน มีการพัฒนาสีที่ใช้สำหรับการให้สีวัสดุต่าง ๆ เป็นอย่างมาก เดิมสีที่ใช้จะอิงสีย้อมสีทอเป็นหลัก ต่อมา จึงได้มีการพัฒนาสีกลุ่มใหม่ ๆ ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม สำหรับการให้สีวัสดุเฉพาะอย่างขึ้น ทำให้ขอบข่ายของสีมีให้เลือกขยายกว้างขวางออกไปมาก และสีที่ใช้มีสมบัติตรงกับความต้องการมากขึ้น ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพสูงตามไปด้วย กล่าวได้ว่าปัจจุบัน เรามีสีที่มีคุณภาพ และมีความคงทนดีกว่าสีที่ใช้ในสมัยก่อนมาก รวมถึงมีการพัฒนาสี ให้ใส่ใจด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น โดยลดสารตั้งต้นที่เป็นพิษ (Toxic) ในเนื้อสีลดลง เพื่อให้มีสารระเหยที่จะส่งผลกระทบที่เป็นอันตราย ต่อร่างกายมนุษย์ลงด้วย ในอนาคตอันใกล้ เป็นที่เชื่อถือได้ว่า น่าจะมีการพัฒนาสีรุ่นใหม่ๆ ที่มีคุณภาพสูง และไม่มีสารพิษประกอบ ให้ใช้เพิ่มมากขึ้นอีกต่อไป
วัตถุประสงค์ของการเคลือบสีผิว คือ การเพิ่มความสวยงามตามธรรมชาติของไม้ให้ดูดีขึ้น กระบวนการนี้ทำให้ได้ไม้ที่มีสีตามต้องการ และช่วยป้องกันเนื้อไม้จากการใช้งานประจำวัน ตลอดจนสารละลายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้กันทั่วไป กระบวนการเคลือบสีผิวนี้ จะเน้นที่ลักษณะของแบบ เทคนิคการเคลือบสีผิวสมัยใหม่ ที่ช่วยทำให้ความงามที่แท้จริงของเนื้อไม้ปรากฏชัด นอกจากนี้ ยังช่วยให้งานแบบเดียวกัน แต่มีสีต่าง ๆ กันอีกด้วย
นอกจากนี้ การเคลือบสีผิว ยังมีประโยชน์ต่อการใช้ไม้ที่มีราคาถูก โดยเคลือบสีผิว ให้ดูคล้ายไม้ที่มีราคาแพง สารที่ใช้ในการเคลือบสีผิว จะต้องทนทานต่อรอยขีดข่วน การขัดถู และสารปกป้องเนื้อไม้จากการเปลี่ยนแปลงความชื้นอย่างรวดเร็ว
องค์ประกอบของสี
สี คือ สารเคมีผสม (Mixture) สำหรับนำมาใช้เคลือบ (ด้วยกรรมวิธีหนึ่งวิธีใด) เพื่อประโยชน์ในการตกแต่ง หรือคุ้มครองป้องกัน หรือเพื่อทั้งตกแต่งและป้องกันวัตถุ หรือพื้นผิวที่ถูกเคลือบ โดยปกติแล้ว จะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง และจะเกิดฟิล์มที่ผิวหน้า เมื่อแห้งโดยสัมผัสกับอากาศ หรือโดยการอบ
ชนิดและคุณสมบัติของสีที่ใช้เคลือบผิว
1. ชแลค มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
- ชแลคผง มีลักษณะเป็นผง เม็ดกลม สีเหลืองอ่อนๆ โดยทั่วไป นิยมเรียกว่า ชแลคขาว
- ชแลคเกล็ด มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ คล้ายกระดาษแก้ว เป็นแผ่นเล็กๆ ขนาดประมาณ 1” บางทีเรียกว่า ชแลคสีส้ม เพราะเกล็ดมีสีออกแดงส้ม
ชแลค ทั้ง 2 ชนิด จะนำมาหมักกับ เมทิลแอลกอฮอล์ 100% โดยแช่ชแลคกับแอลกอฮอล์
ปัจจุบัน นิยมใช้ขวดไนล่อนแทน เพราะหาง่าย น้ำหนักเบา มีฝาปิดมิดชิด เคลื่อนย้ายไปมาสะดวก ผิวเรียบ ขนาดพอเหมาะ สามารถยกเทได้ (ห้ามใช้ภาชนะเป็นโลหะในการหมักชแลคกับแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ทำปฏิกิริยากับโลหะ ทำให้ชแลคเสียได้)
ปัจจุบัน ชแลค จะมีการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมน้อยมาก เนื่องจาก เม็ดสีขุ่น ไม่ใส แต่ยังพบได้บ่อย ในตลาดทั่วไป เนื่องจาก มีราคาถูก โดยใช้เป็นสีรองพื้นก่อน ทำสีจริง
2. สารกันซึม (Sealer)
ใช้เคลือบผิวหน้าวัสดุที่มีรูพรุนสูง หรือใช้เคลือบวัสดุที่ปล่อยสารบางประเภทออกมา ซึ่งจะทำให้ฟิล์มของสีเสียหายได้ สารกันซึมมีหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้ความชื้นซึมผ่านผิวไม้ เสริมการยึดเกาะระหว่างสีชั้นถัดไปกับพื้นผิววัสดุ ป้องกันไม่ให้เกิดรอยด่าง หรือรอยตำหนิ ที่จะเกิดหลังจากเคลือบสีชั้นถัดไป ในโรงงานอุตสาหกรรม นิยมใช้ เป็นตัวรองพื้น ซึ่งสารกันซึมนี้ ต่อมาในภายหลัง เริ่มมีการพัฒนาควบคู่ไป กับสี ที่เราเรียกกันว่า ไฮกรอส ในลักษณะสีพ่น ผู้บริโภค หลายท่าน คงพอทราบปัญหากันอยู่ว่า เฟอร์นิเจอร์พ่นสีขาว เมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดเปลี่ยนสี กลายเป็นสีเหลืองแทน จริงๆ แล้ว ไม่เฉพาะสีขาว สีทุกสี มีการเปลี่ยนสีตัวเองทั้งสิ้น เพียงแค่เราไม่ได้มีตัวอย่างสีต้นแบบ เปรียบเทียบภายหลัง ซึ่งถ้ามาเปรียบเทียบอีกที เราจะพบได้ว่า สีทุกสี มีการเปลี่ยนแปลง ปัญหานี้ สมัยก่อน ก่อให้เกิดปัญหากับโรงงาน ที่ต้องมีการรับประกันสินค้า เป็นระยะเวลามาก-น้อยแล้วแต่ตกลง แต่ทั่วไปอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งสินค้าสีพ่นเหล่านั้น เมื่อถูกจัดวางโชว์ ต้องมีการใช้ไฟช่วยให้โดดเด่น เจอความร้อนเร่งเร้านานๆ สีที่พ่นไว้ จะเริ่มมีรอยด่างเหลือง หรือไม่ก็สี จะเริ่มเพี้ยนจากตัวอย่างสีต้นแบบ ในเวลารวดเร็ว ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าแผ่นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น ไม้อัด, PB, MDF (ตอนนั้น แผ่น HDF ยังไม่ถูกผลิตออก จัดจำหน่าย) วัตถุดิบพื้นฐาน ที่ใช้ผลิตแผ่นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านั้น มาจากไม้ทั้งสิ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของไม้ จะมียางอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อนำแผ่นผลิตภัณฑ์ หรือว่าไม้จริง มาใช้งาน โดยปกติ จะมียางไม้ซึมขึ้นมา เมื่อนำสีไปพ่นทับไว้ ยางเหล่านั้น ก็จะทำปฏิกริยากับสี ทำให้เห็นเป็นรอยด่างเหลืองเป็นจุด หรือขึ้นทั่วทั้งแผ่น จนสีเพี้ยนไปจากเดิม ยิ่งโดนไฟ, ความร้อน หรือแสง ยิ่งเป็นตัวเร่ง ให้ยางไม้ซึมขึ้นมาได้เร็วขึ้นกว่าปกติ ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมีการพัฒนาสารกันซึม ที่มีคุณสมบัติบล็อคยางไม้ ไม่ให้ซึมขึ้นมาได้ โดยส่วนใหญ่ จะเรียกว่า สารกันยาง ซึ่งสารตัวนี้ ภายหลังมีการพัฒนาปรับปรุง ให้กลายเป็น สีรองพื้นกันยาง โดยใส่เนื้อสีขาวลงไปด้วย เพื่อปรับสภาพสีแผ่นผลิตภัณฑ์ ให้กลายเป็นสีขาวก่อน ที่จะพ่นสีจริงลงไป เพื่อให้ได้โทนสี ที่แท้จริง หลังพ่นสีจริงเสร็จ
3. น้ำมันวานิช (VANISH)
เป็นเรซิ่นสังเคราะห์ ที่ใช้เคลือบไม้เพื่อรักษาเนื้อไม้ และป้องกันน้ำได้ วานิชชนิดนี้ ถูกเรียกว่า แอลกฮอล์วานิช หรือวานิชระเหย ซึ่งเป็นวัสดุเคลือบผิวราคาถูกที่ทำมาจากการละลายยางธรรมชาติ ปัจจุบันในวงการสีอุตสาหกรรม ไม่นิยมใช้ เนื่องจาก แห้งช้า, ไม่ทนต่อการขูดขีด, ไม่ทนต่อสารเคมี แต่ปัจจุบัน มีบริษัทสี หลายแห่ง นำน้ำมันวานิช มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยผสมผงสีลง ปรับแต่งโทนเนื้อสี ให้เป็นโทนสี ที่นิยมใช้ในตลาดทั่วไป รวมถึงปรับปรุงสารละลาย และสารเคลือบผิว นำออกจำหน่าย เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และสะดวกต่อการใช้งาน
4. สีอะมิโน
ยูเรียเรซิน เป็นสารเคลือบผิว ซึ่งเป็นปฏิกิริยาระหว่างกรดกับอมิโนอัลคิด ราคาไม่แพงนัก เมื่อเทียบกันค่า % Solid ที่สูง,ค่า Hardness การทนต่อการขูดขีด และทนต่อตัวทำละลาย แต่จะมีกลิ่นของ Formalin ค่อนข้างแรง และจะเกิดการกระเทาะ (รอยร้าว) ได้เมื่อนำมาอบหรือใส่ในตู้อบ ซึ่งสารเคลือบผิวชนิดนี้ ยังคงมีใช้กันอยู่ ในโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ด้านกรอบรูป
5. ทีค ออยล์ (TEAK OIL)
เป็นน้ำมันที่ช่วยรักษาเนื้อไม้ ซึ่งซึมเข้าไปบนเนื้อไม้ได้ดี เพื่อช่วยให้สภาพผิวไม้สวยงามและ มีความคงทน จะไม่มีเนื้อฟิลม์ปิดผิว เหมือนสีประเภทอื่นๆ ปัจจุบัน นิยมใช้กับงานไม้สัก ที่ชอบเนื้องานแบบดิบๆ หลายๆ ท่าน ยังแนะนำให้ใช้สีประเภทนี้ สำหรับการรักษาเนื้อไม้อยู่ แต่ผมขอเตือนให้ระวังนิดนึง สำหรับการเลือกใช้ ต้องเลือกใช้ ให้ถูกลักษณะงานด้วย อย่างที่บอกไว้ว่า สารประเภทนี้ จะเป็นลักษณะน้ำยารักษาเนื้อไม้ ไม่ใช่สารเคลือบผิว เหมือนสีต่างๆ เพราะฉนั้น การที่จะใช้สารตัวนี้ ให้เกิดผลดีมากที่สุด ควรใช้กับชิ้นงาน ที่มีความหนาไม่มาก, ความชื้นในเนื้อไม้ไม่สูง หรือความชื้นคงที่แล้ว เวลาใช้งานอย่าเสียดาย เพราะสารตัวนี้ จะต้องซึมลงไปในชั้นไม้ ยิ่งซึมลงไปได้เยอะมากเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น ชิ้นงานหนา, ความชื้นมาก จะเป็นอุปสรรคของการซึมเข้าของสารชนิดนี้ครับ
6. สีแลคเกอร์
ทำจากไนโตรเซลลูโลส และ เรซิ่นสังเคราะห์ มีคุณสมบัติแห้งเร็ว วิธีการใช้งานง่าย ทนต่อสภาพภูมิอากาศ ทนต่อสารเคมีบางชนิด มีความแข็งแรงทนต่อการขีดข่วนได้พอสมควร ไม่เหมาะสำหรับใช้ภายนอก เพราะสีจะเหลืองง่าย และมักติดไฟได้ง่าย
สีแลคเกอร์ เป็นสีที่นิยมอย่างแพร่หลาย ในงานเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจาก เนื้อสีมีน้ำหนักเบา, หาซื้อได้ง่าย และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อย่างต่อเนื่อง
7. สีอคิลิค แลคเกอร์
ทำจากอคิลิคเรซิ่น มีคุณสมบัติแห้งเร็ว ใช้ง่าย ทนต่อสภาพภูมิอากาศ กันขูดขีดได้ดีกว่าแลคเกอร์ นอกจากนี้ ยังทนต่อแสงแดดได้ดี ทำให้ฟิลม์ไม่เปลี่ยนสี หรือเหลืองขึ้น จึงนิยมใช้กับชิ้นงานพวกไม้มะปิน,ไม้ยางพารา หรือไม้เนื้อขาวทุกชนิด แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่าแลคเกอร์ จึงไม่ค่อยนิยมใช้กัน จะหลีกเลี่ยง ไปใช้สีประเภท PU หรือ PE แทน
8. สีโพลียูรีเทน
โพลียูเรเทน เกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง โพลีไอโซไซยากับโพลีออล มีความแข็งแรงมาก ทนต่อการขูดขีดทนต่อสารเคมีได้ดี และมีเนื้อมาก สามารถเคลือบได้ครั้งละหนา ๆ ฟิล์มที่ได้มีความแข็งและเหนียว,ทนต่อการขัดสีสูง มีการยึดเกาะผิวหน้าดี,ทนต่อตัวทำลาย และทนต่อสภาพภูมิอากาศได้ดี มักนิยมใช้กับงานพื้นปาร์เก้, พื้นไม้จริง, ชิ้นส่วนงานเฟอร์นิเจอร์ส่งออกบางแห่ง ที่ต้องสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น พื้นโต๊ะทานข้าว, พื้นบนตู้วางทีวี
9. สีโพลีเอสเตอร์
เป็นสี ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากสารโพลีเอสเตอร์เรซิ่น มีความทนทานของพื้นผิว อยู่ในระดับสูง เนื้อสี มีความหนักมาก ขั้นตอนการพ่นแต่ละขั้น จะต้องทิ้งไว้ให้แห้ง อย่างน้อย 4 ชม. ถึงจะสามารถดำเนินการผลิต ในขั้นตอนต่อไปได้ แต่โดยส่วนใหญ่ จะถูกกำหนดให้ใช้เฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจาก ภายในส่วนประกอบของเนื้อสี เมื่อสัมผัสกัน สามารถเกิดปฏิกริยาสันดาบความร้อน เกิดเป็นเพลิงลุกไหม้ได้ ยังมีสีอีกประเภท ยังไม่เคยได้ใช้งานมาก่อน นั่นคือ สี UV (แหะ...แหะ... ค่าเครื่องมันแพงง่ะ แถมกินไฟชมัด ) เท่าที่ทราบ จะต้องผ่านการพ่นสี ในแต่ละขั้นตอน จะต้องเข้าไปอบสี โดยผ่านเครื่องอบแสง UV ซึ่งกินค่าไฟฟ้ามาก ส่วนอีก 3 ประเภท ที่เหลือ จะเป็นสีไร้สารพิษ ที่มีกระแสนิยมเข้ามา บางประเภทมีการใช้งานมานานแล้ว แต่บางประเภท ก็เพิ่งถูกพัฒนาขึ้นมา ได้แก่
10. สีวอเตอร์เบส
สีชนิดนี้ จะถูกใช้งาน ในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตของเล่นเด็ก ซึ่งเป็นสีที่ใช้น้ำ เป็นตัวทำละลายแทน สารเคมี กระบวนการขัด, ทำสี จะใช้เครื่องจักร แตกต่างจากการทำสีทั่วไป
11. สีแลคเกอร์ NTX และสีโพลียูรีเทน NTX
เป็นสีที่ถูกพัฒนาขึ้นมา จากกระแส Think Earth ซึ่งจะลดสัดส่วนของส่วนผสมสารมีพิษต่างๆ ลง เพื่อให้เกิดสารระเหยน้อยที่สุด เช่น โทลูอีน, ฟอร์มาดีไฮด์, ตะกั่ว ฯลฯ
ปัจจุบัน โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ที่ต้องส่งออกไปยังต่างประเทศ จะมีการใช้งานสีประเภทนี้ เกือบทั้งหมด ณ.ตอนนี้ ยังขาดเพียง สี PE ที่โรงงานต้องการ ซึ่งยังไม่สามารถพัฒนา เป็นสี ประเภท NTX ได้ เนื่องจาก คุณสมบัติบางตัว ของสารเคลือบแข็ง ยังต้องมีสารฟอร์มาดีไฮด์ผสมอยู่ สำหรับคำเรียกขาน สีอีกประเภท ที่ผู้บริโภค พูดถึงกันบ่อยๆ จนไม่อาจละเลย ที่จะเขียนถึงได้ ก็คือ ไฮกรอส จริงๆแล้ว คำว่า “ไฮกรอส” เป็นคำเรียกลักษณะสี ที่มีความเงา 100 % และเนื้อสีใสเหมือนกระจก เท่านั้น เริ่มแรก มาจาก ในวงการโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว เริ่มมีต้องการสินค้า ที่มีความเงา 100% เนื้อสีใส และสามารถทนรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี (ความเงา 100 % สามารถทำได้นานแล้ว ติดแค่กระบวนการทำให้เนื้อสีใส) สำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ ที่ใช้ภายในโรงแรมต่างประเทศ (ขณะนั้น เป็นพิมพ์นิยม) จึงเริ่มพัฒนา สี PE ที่มีคุณสมบัติปกป้องรอยขีดข่วน ปรับขั้นตอนแต่ละขบวนการ ให้เนื้อสี มีความใส (ไม่ขุ่น) จนได้มา เป็นสีไฮกรอส (ซึ่งต่อมาอีก 10 ปี ถ้าพูดถึงไฮกรอส ในโรงงานจะหมายถึงสี PE เท่านั้น) หลังจากนั้น ไม่นาน ก็มีผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์น็อคดาวน์ (โมเดิร์นฟอร์ม) ได้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ออฟฟิศ ระดับบริหาร โดยใช้ สี PE Hi Gloss เป็นวัสดุเคลือบผิว ออกวางจำหน่าย จึงทำให้กระแสความต้องการใช้งาน มีเพิ่มมากขึ้น จนกระจายไปในส่วนงานผู้รับเหมา แต่เนื่องจาก ขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อน สีชนิดนี้ จึงควรจะผลิตออกมาจากโรงงาน โดยตรงมากกว่า
ขั้นตอนการผลิตสีไฮกรอสทั่วไป ต้องมีการพ่นสีประเภทต่างๆ ทั้งหมดรวมแล้ว ไม่น่าต่ำกว่า 6 ขั้นตอน (ขั้นตอนงานที่ผลิตในต่างประเทศ จะต้องพ่นประมาณ 10-12 ขั้นตอน) ดังนั้น สีที่ใช้ในงานรับเหมาทั่วไป ส่วนใหญ่ จึงเป็นสีพ่นรถยนต์ ที่นำมาประยุกต์ใช้แทนสี PE Hi Gloss ซึ่งข้อแตกต่าง ที่น่าจะเห็นได้ชัดเจน คือ ในส่วนของสี PE Hi Gloss จะมีขั้นตอนการพ่นสีรองพื้นกันยาง และสี PE Hi Gloss เมื่อทำสีสำเร็จ จะมีคุณสมบัติปกป้องความร้อนได้ระดับที่ สามารถนำบุหรี่ หรือธูป ที่ติดไฟ มาดับบนพื้นผิว โดยไม่เกิดความเสียหายได้ สำหรับ ปัจจุบัน ด้วยเรื่องราคาต้นทุนต่างๆ ที่มีการแข่งขันกันอยู่รุนแรง จึงทำให้ได้มีการพัฒนา สีแลคเกอร์ และ สี PU ให้เป็นสีลักษณะ Hi Gioss เพื่อลดต้นทุนในการผลิตลง จะได้นำไปแข่งขันกับจีน และเวียดนามได้
บทความโดย คุณ ko7vasan
ที่มา https://www.thaicarpenter.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=thaicarpentercom&thispage=&No=341503&WBntype=1