|
ทำ Marking อย่างไร ให้เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม | |
PTSC |
การทำ Marking บนชิ้นงานของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ไม่เพียงแต่เป็นข้อกำหนดด้านกฎหมายและการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของเอกลักษณ์ ตัวตน คุณภาพ และการสืบค้นผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นได้ นอกจากนี้ การทำ Marking ยังถูกใช้เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีบทบาททั้งในการโฆษณาแบรนด์ของผู้ผลิต การตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม และอื่น ๆ ด้วยการทำเครื่องหมายโลโก้ หรือแม้แต่ลวดลายต่าง ๆ ประโยชน์เหล่านี้ได้จาก Industrial Marking หรือ การทำเครื่องหมายอุตสาหกรรม จึงช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจละเลยได้ผู้ผลิตทุกรายต้องการทำเครื่องหมาย (Marking) บนผลิตภัณฑ์ และมีวัตถุประสงค์ของการทำ Marking แตกต่างกันไป อาทิ ทำเครื่องหมายให้ลึก, ทำเครื่องหมายบนพื้นผิว, ทำเครื่องหมายรอบชิ้นส่วน, บาร์โค้ด, หรือแบบมีสี ซึ่งมีเทคโนโลยีในการทำ Marking ที่แตกต่างกันตามความต้องการของเครื่องหมายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Laser Marking หรือ การแกะสลักด้วยเลเซอร์ เป็นหนึ่งในกรรมวิธีที่มีความซับซ้อนที่สุดแต่ก็ยืดหยุ่นสูงสุดเช่นกัน การทำ Marking บนผลิตภัณฑ์ทรงกลมอย่างไรจึงจะออกมาได้สวยงามอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไปจนกระทั่งซอฟต์แวร์ที่นำมาใช้ในการทำ Marking จะให้อิสรภาพในการออกแบบและทลายข้อจำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายได้อย่างไร เนื่องจากเครื่องหมายต้องมีรอยที่คมชัด และสม่ำเสมอ แต่ด้วยความแตกต่างของชิ้นงาน ทำให้การทำเครื่องหมายมีความหลากหลาย ทั้งความต้องการเครื่องหมายตื้น-ลึก และบรรทัดต่อเนื่องบนวัสดุต่าง ๆ เช่น พลาสติก เหล็ก อะลูมิเนียม และวัสดุที่กัดได้ยาก, การทำเครื่องหมายสำหรับชิ้นงานทรงกลม, การทำเครื่องหมายแบบใช้ความร้อนสำหรับงานหนัง, และอื่น ๆ จะเห็นได้ว่า มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากมายในการเลือกสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับผู้ผลิตแต่ละราย โดย Automator Marking System ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเครื่องหมายอุตสาหกรรม และเครื่องจักรสำหรับการทำเครื่องหมายบนทุกพื้นผิว ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1940 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลา 80 ปีแล้ว ได้เข้ามาแนะนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Industrial Marking ให้นักอุตสาหกรรมไทย ได้รู้จัก เข้าใจ และ เลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม ผ่านบริษัท PTSC: Precision Tooling Services Co., Ltd. ซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศไทย เครื่องหมายอุตสาหกรรมคืออะไร?เครื่องหมายอุตสาหกรรม คือ เครื่องหมายถึงวิธีการใช้งาน หรือ เครื่องหมายที่ใช้งานได้ สำหรับการระบุคุณสมบัติที่มา หรือคุณภาพลงบนชิ้นงาน ทำไมเราต้องทำเครื่องหมายบนผลิตภัณฑ์?
เราจะทำเครื่องหมายผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร?การทำเครื่องหมายบนผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดมีวัตถุประสงค์ในการทำเครื่องหมายไม่เหมือนกัน ทำให้กระบวนการทำเครื่องหมายแตกต่างกันไปตามชิ้นงาน และความต้องการ โดยรูปแบบการทำเครื่องหมายบนผลิตภัณฑ์ มีดังนี้ เลเซอร์มาร์กกิ้ง (Laser Marking)เลเซอร์มาร์กกิ้ง เป็นวิธีการที่มีความคล่องตัวสูงสุดในการจำแนกความแตกต่างของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทำงานด้วยการใช้แสงเลเซอร์ลำแสงที่มีความเข้มสูง ซึ่งจะถูกส่งไปยังพื้นผิว และขับเคลื่อนด้วยกระจกที่เคลื่อนไหวหรือหัวพล็อตเตอร์เพื่อสร้างต่ำแหน่งของเครื่องหมาย
Dot peen markingเป็นเทคโนโลยีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุผลิตภัณฑ์โดยการสร้างตัวอักษร ตัวเลข หรือภาพวาด ทำงานโดยการสั่นสะเทือนความถี่สูงของเข็มโลหะซึ่งควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อกระแทกวัสดุที่เลือกต่อเนื่องด้วยจุดขนาดเล็ก
Impact Markingในบรรดาวิธีการทำเครื่องหมายที่มีอยู่หลากหลาย Impact Marking เป็นการทำเครื่องหมายแบบนี้เป็นหนึ่งในวิธีที่ซับซ้อนที่สุด ด้วยเหตุนี้คุณภาพของเครื่องทำเครื่องหมายแบบนี้จึงมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
Scribe Markingเป็นหนึ่งในวิธีที่เร็ว และเงียบที่สุด ประกอบด้วย “รอยขีด” ที่สร้างขึ้นโดยปลายบนพื้นผิวของผลิตภัณฑ์ เหมาะสำหรับการทำเครื่องหมายลึก และบรรทัดต่อเนื่องบนวัสดุ เช่น พลาสติก เหล็ก อะลูมิเนียม และวัสดุเนื้อแข็งที่ทนทาน กัดได้ยาก
การทำเครื่องหมายแบบใช้ความร้อนการทำเครื่องหมายร้อน ใช้สำหรับทำเครื่องหมายลงบนวัสดุโดยตรง ทำเครื่องหมายด้วยสีโอนสี หรือแถบไนลอนสี . เหมาะสำหรับไม้, PVC, ABS, พลาสติก, หนัง และวัสดุอื่น ๆ โดยทั่วไป
ซึ่งในการทำเครื่องหมายผลิตภัณฑ์นั้น นอกจากกระบวนการที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีอีกหลายเทคโนโลยี และแอปพลิเคชันที่เหมาะสม ซึ่ง Automator Marking Systemเป็นรายเดียวที่ให้บริการเทคโนโลยีการทำเครื่องหมายทั้งหมดนี้ในทุกประเภท รวมถึงการทำ marking ในรูปแบบกำหนดเอง และเป็นเทคโนโลยีที่พบมากที่สุดในการทำเครื่องหมายอุตสาหกรรม สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/2xIITh8
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ |
ผู้ตั้งกระทู้ PTSC (marketing-at-ptsc-dot-co-dot-th) :: วันที่ลงประกาศ 2022-10-20 08:02:53 IP : 1.4.212.85 |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 9848409 |