น้องฮาร์วี่ย์ 42:

         เมื่อผมได้ตำแหน่งที่เหมาะสม 2 รูแล้ว ก็ทำเครื่องหมายไว้บนแผ่น MDF แต่ก่อนที่จะเจาะจริงก็ได้ทดสอบกับเศษไม้ที่มีความหนาเท่าๆกันดูก่อน เพื่อความแน่ใจโดยผมใช้ดอกสว่านขนาด 1/4 นิ้ว ปลายเกษร (เพื่อให้เจาะได้แม่นๆหน่อย) เป็นดอกเจาะ และเจาะด้วยสว่านแท่น JET ตัวเก่งของผมละครับ (แม่ว่าซื้อมาจะ 2 ปีแล้วก็ยังไม่ได้ทำรั้วและทำพื้นแบบถาวรให้เสียที รอหน่อยแล้วกัน) ใข้รั้วเตี้ยๆชั่วคราวใปก่อนทำให้ต้องใช้แคล้มป์ช่วยจับหลายตัวหน่อย

         เมื่อปรับระยะต่างๆได้แล้วก็ทดลองเจาะดู ผลจากการทดสอบก็ใช้ได้ตรงดี และมีขนาดพอเหมาะกับก้านยึดของแคล้มป์ที่จะใช้จึงเริ่มเจาะจริงกับแผ่น MDF ที่เตรียมไว้ เมื่อเจาะเสร็จทั้ง 2 รูแล้ว นำแผ่น MDF ที่ได้ มาลบมุมเล็กน้อยด้วยที่ขัดกระดาษทรายเพื่อไม่ให้มุมต่างๆฉีกหรือแตกได้ง่าย (เพราะแผ่น MDF มุมต่างๆจะแตกได้ง่ายกว่าไม้อัดหรือไม้จริงหากเราไม่ลบมุมออกก่อน)

        หลังจากเสร็จแล้วก็นำมาลองติดตั้งดูกับรั้วตัด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้ ซึ่งผลที่ออกมาก็ใช้ได้ครับ หลายท่านอาจไม่ทราบว่าประโยชน์ของ Sacrificial fence คืออะไร(ท่านที่ทราบแล้วก็อ่านผ่านไปได้นะครับ) หน้าที่ของมันมีหลายอย่างเท่าที่เคยเห็นเขาใช้กันในวิดีโอนะครับ ตั้งแต่ป้องกันไม่ให้ใบเลื่อยมีโอกาสไปโดนรั้วตัดได้ง่ายเพราะมันมีความหนาพอสมควร) โดยเฉพาะเมื่อจะต้องเลื่อนรั้วตัดมาใกล้กับใบเลื่อยมากๆ  และก็ยังจะช่วยในการทำบังใบให้ได้ขนาดตามต้องการด้วยใบ เลื่อย dado โดยไม่ต้องเปลี่ยนขนาดความหนาของชุดใบเลื่อยเป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับน้องฮาร์วี่ย์มากๆครับ

        แต่ผมก็ยังไม่ได้ลองใช้กับใบเลื่อย dado นะครับเนื่องจากยังไม่ได้ใส่ใบเลื่อย dado ไว้ เดี๋ยวค่อยทำทีเดียวตอนที่จะทดสอบการทำร่องหรือบังใบด้วยใบเลื่อย dado น่ะครับ  

        เมื่อทำ Sacrificial fence เสร็จ(ต้องขอโทษจริงๆที่ผมยังหาคำแปลที่เหมาะสมสำหรับชื่อเรียกรั้วชนิดนี้ไม่ได้ เลยต้องขอเรียกชื่อทับศัพท์ไปก่อน) ถัดไปก็จะเป็นการทำตัวช่วยจับต่างๆ (fixtures)สำหรับการเริ่มใช้งานน้องฮาร์วี่ย์คือ  Zero clearance auxiliary fence สำหรับ Miter gauge 

น้องฮาร์วี่ย์ 43:

          เริ่มทำ Zero clearance auxiliary fence ให้กับ Miter gauge ของ INCRA รุ่น Miter 1000 ที่ผมซื้อมานานปีกว่าแล้ว โดยผมตัดแผ่น MDF ขนาด 20มม. สูง 4นิ้ว แต่เท่าที่ลองดูน่าจะสูงไปหน่อย เลยเอาไปเฉือนออก จนเหลือ 3 นิ้วแล้วครับ น่าจะใช้ได้แล้วตามรูปที่ 3 และ 4 (แต่ผมยังต้องตัดด้วยโต๊ะเลื่อย Makita เพราะน้องฮาร์วี่ย์ยังไม่มีโต๊ะรับไม้ จะตัดยากและอันตรายเกินไปสำหรับผม ส่วนเจ้า Rolling Shop Cart ของผมก็เลื่อนออกไปไม่ได้แล้วเพราะติดของไปหมด เลยต้องอาศัยน้องมากิต้า ช่วยงานไปก่อนนะครับ) สาเหตุที่เลือกใช้แผ่น MDF ก็เพราะแผ่น MDF จะมีผิวหน้าที่เรียบกว่าไม้อัดและมีความหนาที่เท่ากันตลอดแผ่นมากกว่าไม้อัดนั่นเอง เพื่อไม่ให้แนวของรั้วตัดบางช่วงผิดเพี้ยนไปได้ และก็สามารถเปลี่ยนได้เมื่อใช้ไปนานๆแล้วเกิดเสื่อมสภาพไปจากการใช้งาน 

          ตัดแผ่น MDF เสร็จแล้วก็เอามาเจาะรูด้วยสว่านแท่น 2 รู โดยเจาะด้วยดอกสว่านขนาด 1/4 นิ้วให้ทะลุแผ่น MDF เมื่อเจาะรูทะลุเสร็จแล้วผมเปลี่ยนดอกเจาะใหม่เป็นดอก Forstner ขนาด 5/8 นิ้วเจาะเพื่อทำร่องสำหรับฝังห้วสกรู ลึก 5/16 นิ้ว ทั้ง 2 รู โดยกะระยะให้รูทั้ง 2 อยู่ในพื้นที่ของราง T-track บน Miter Gauge

          ส่วนราง T-Track ที่เอาไว้ใส่ตัวชนไม้ (Stopper) บน Auxiliary fence ผมยังไม่ได้ทำ เนื่องจากตอนนี้ได้ย้ายโต๊ะเร้าเตอร์เข้ามุมไปก่อนเนื่องจากยังไม่มีที่ว่างพอ เดี๋ยวเอาไว้ทำทีหลังตอนที่ทำ Zero clearance insert plate ก็แล้วกัน จะได้ใช้โต๊ะเร้าเตอร์ทำไปพร้อมๆกันเลย

          (เนื่องจากผมได้เปลี่ยนตัว Miter Gauage ใหม่จาก INCRA Miter 1000 มาเป็น INCRA Miter 1000HD แทน และนำ INCRA Miter 1000 เก็บไปแล้วหลังจากใช้ตัดไม้ตอนทดสอบ ซึ่งปัจจุบันคุณ paisal รับไปอุปการะดูแลแทนมแล้วครับ)

น้องฮาร์วี่ย์ 44:

         เมื่อเจาะได้แล้วก็เอาน๊อตใส่เข้าในราง Miter 1000 ขันสกรูให้แน่นพอรู้สึกตึงๆ จากนั้นผมก็ปลุกน้องฮาร์วี่ย์ให้ตื่นเพื่อที่จะทำ Zero clearance บนรั้ว MDF ที่ทำขึ้น โดยผมปรับใบเลื่อยขึ้นมาบนโต๊ะแล้วดัน Miter Gauge ผ่านใบเลื่อยทำให้เกิดเป็นร่อง Zero clearance ขึ้นที่ Auxiliary fence เป็นอันเสร็จในส่วนของ Zero clearance Miter Gauge Auxiliary fence แล้วครับที่ไม่ยากนัก

         งานชิ้นต่อไปที่ผมจะทำคือโต๊ะรับไม้(Outfeed Table) ซึ่งน่าที่จะต้องใช้เวลามากพอสมควร เนื่องจากยังไม่ได้เขียนแบบไว้ เพราะยังไม่ได้เห็นสภาพ และส่วนสัดจริงๆว่าเท่าไร โดยระหว่างที่ผมทำ Auxiliary fence ผมก็ทำพื้นโต๊ะฯไปด้วย

EPISODE 4:

น้องฮาร์วี่ย์ 45: Table Saw Outfeed Table

        ตัดไม้เพื่อทำพื้นโต๊ะรับไม้ (Outfeed  Table) โดยพื้นด้านล่างผมใช้ไม้อัดหนา 15 มม.เป็นฐานโต๊ะ ส่วนด้านบนโต๊ะจะใช้แผ่น MDF หนา 20 มม. ทั้งนี้ก็เพื่อให้พื้นโต๊ะมีความแข็งแรงไม่โก่งและสามารถยึดกับส่วนประกอบอื่นๆด้วยสกรูได้ดี ส่วนผิวด้านหน้าโต๊ะก็จะเรียบจากความเรียบของแผ่น MDF แล้วจะปิดผิวทั้งสองด้านด้วยแผ่นลามิเนตอีกชั้น เพื่อเพิ่มความลื่นให้กับพื้นโต๊ะ เมื่อรวมความหนาของโต๊ะแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 35มม. หรือ 1-1/4 นิ้ว

       เมื่อตัดไม้อัดและแผ่น MDF ได้แล้วก็ทำการยึดประกบกันด้วยกาว แล้วเอาแคล้มป์หนีบริมขอบทุกด้านไว้ทั้งหมดโดยหาไม้รองแคล้มป์บริเวณผิวหน้าที่เป็นแผ่น MDF เพิ่อกันมันเป็นรอยหนีบของแคล้มป์จะทำให้ผิวหน้ามันไม่เรียบอย่างที่ต้องการ ส่วนตรงกลางๆ ก็ใชัของหนักๆทับไว้ เนื่องจากยังไม่ได้ทำ bow clampsเลย ระหว่างนี้ก็คงต้องรอให้กาวแห้งก่อนโดยจะทิ้งไว้ข้ามคืนครับ จากนั้นจึงจะนำไปติดขอบด้วยไม้จริงโดยจะใช้ไม้แอช(Ash) ปิดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง  ก่อนที่จะปิดผิวหน้าโต๊ะด้วยวิเนียร์ชนิดเงาเพื่อเพิ่มความลื่น

      ส่วนขาโต๊ะผมจะทำด้วยไม้แอช หรือไม้ยางพาราประสานขนาด 1-1/4 ถึง 2 นิ้ว ส่วนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่จะใช้กับโต๊ะรับไม้ครั้งนี้ผมเลือกใช้เหล็กขาพับโต๊ะญี่ปุ่น 2 อัน กับขาปรับระดับอีก 2 อัน ส่วนแคล้มป็นก (Toggle Clamps) จะต้องใช้หรือเปล่าเดี๋ยวตอนประกอบขอดูอีกครั้งหนึ่งว่ามีความจำเป็นหรือเปล่า แต่ก็มีของอยู่ในสต๊อกแล้วครับ

       เหตุที่จะต้องใช้ขาพับสำหรับโต๊ะฯ ก็เพราะว่าระหว่างที่ไม่ได้ใช้งานผมจะต้องพับขาและถอดโต๊ะฯ ออกจากน้องฮาร์วี่ย์ แล้วเอาไปพิงเก็บไว้เนื่องจากจะต้องเอารถเข้าจอด หากถอดและพับไม่ได้จะทำให้รถเข้าจอดไม่ได้เพราะมันกินเนื่อที่ของบริเวณจอดรถไปมากพอควร (ต้องแบ่งๆกันใช้ครับ) เวลาจะใช้งานค่อยนำมาวางเสียบที่โต๊ะและกางขาทั้ง 2 ข้างออกเพื่อใช้งาน   หรือไม่ผมก็จะทำแบบติดถาวร แต่พับลงได้เมื่อไม่ได้ใช้งาน โดยใช้บานพับแบบเปียโนของ Hafele ที่ก็ซื้อมานานเป็นปีแล้วแต่ก็ยังไม่เคยได้ใช้เหมือนกัน

       เดี๋ยวขอเวลาไปศึกษาดูก่อนว่าจะเลือกทำแบบไหนดี แล้วก็ต้องไปเลือกไม้และเขียนแบบด้วย Sketchup ก่อนเพื่อให้ได้เห็นหน้าตาและกรรมวิธีในการประกอบร่างโต๊ะรับไม้เข้ากับน้องฮาร์วี่ย์ก่อน..... แล้วจะกลับมาใหม่ครับ 

ไม่ขอพูดอะไรมากครับ พูดใด้คำเดียว เก่งครับ ปล.ขอซื้อโต๊ะเลื่อย makita คิวหนึ่งนะครับ tel.081-509-4118 ป้อมครับ

วันนี้ ผมใช้เวลาทั้งวัน ไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรก จนถึงหน้านี้ ซึ่งเป็นหน้าที่หก อ่านทุกความเห็น พูดได้คำเดียวครับ

   สุดยอดครับ

พี่เอ็ม....ใช้เวลากอดน้องเค้านานเกินไปรึเปล่ามาลงต่อเร้วรออ่านอยู่แต่รอดูมีมากกว่า555

 คุณป้อม

      ความพยายามสูง ขยันอ่านนะครับ นับถือๆ ท่าทางจะเพิ่งเข้ามาใน webboard นี้แน่เลย ยินดีต้อนรับครับ ผมน่ะไม่ได้เก่งหรอกครับเพียงแต่ขยันอ่านหนังสือกับขยันดูวิดีโอสิ่งที่ผมสนใจซึ่งเป็นนิสัยปกติของผมแค่นั้นเองครับ

      แต่ makita ที่จองน่ะได้คิวที่ 2 นะครับ คุณกฤษณะจองมาคิวแรกเลยทาง e-mail แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดจะขายตอนนี้น่ะครับเพราะผมเป็นคนขี้เกียจเปลี่ยนใบเลื่อยครับ ตั้งแต่ซื้อมาปรับได้ที่แล้วก็ยังไม่เคยถอดอีกเลย

      จองโต๊ะเลื่อย Makita คิวแรกของคุณ i3ird ไว้เลยก็ได้แว่วๆมาว่าอยากจะขายทิ้งแล้วมั้ง

คุณสมชาย

       สงสัยคีย์ภาษาไทยไม่ได้แน่ เลยส่งแต่ไอคอนอย่างเดียว อย่างไรก็ขอบคุณครัับ ว่างๆก็แวะเข้ามาได้ครับ

คุณ i3ird

       สัปดาห์นี้ผมติดงานเยอะไม่ได้เข้าช็อปเลย ปล่อยให้น้องฮาร์วี่ย์ต้องนอนหง่าวอยู่คนเดียว(ซะแล้ว) เดี๋ยวสัปดาห์หน้าต่อแน่นอนครับ 

       คั่นเวลาระหว่างที่ไม่ได้เข้าช็อป ผมจะได้สมาชิกใหม่แล้วครับ... เพราะในที่สุดผมก็เลือก Dial Gauage สำหรับเอามาปรับน้องฮาร์วี่ย์ กับน้องจอย รวมถึงเครื่องมือตัวอื่นๆ ให้เที่ยงตรงได้แล้วครับ เป็น Digital Dial Gauge ของ iGaging ที่มีหน่วยทั้ง นิ้ว มม. และเศษส่วน มี miter bar และแขนยึดมาให้เสร็จ ในราคาค่าตัวรวมค่าขนส่งแล้วไม่ถึง 3K ครับ ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า Digital Gauage แล้วกันครับ

        ส่วนอุปกรณ์เสริมได้แก่ ฐานแม่เหล็ก (ที่เอาไว้ใช้กับ digital gauge สำหรับวัดอย่างอื่น เช่นความเรียบของพื้นผิว ฯลฯ) ผมดูแล้วกะว่าจะซื้อเอาในประเทศ เพราะ Digital gaugeที่ซื้อมาเป็นแบบมาตรฐานที่ใช้ห่วงยึด(lug) เห็นมีฐานแม่เหล็กขายกันเเยอะแม้กระทั่งของ Insize และ Moore & wright ที่เคยซื้อก็มี ราคาก็ไม่แพงอะไรแค่ 4-500 อย่างดีหน่อยก็ประมาณ 1,000 บาท นอกจากที่เป็นพวกละเอียดมากๆจริงๆราคา 4,000 - 5,000 บาทก็มี เนื่องจากมันมีน้ำหนักมากพอดูผมคิดดูแล้วว่าถ้าสั่งเข้ามาด้วยจะไม่คุ้มค่าขนส่งแน่นอน

        iGaging เป็นอีกยี่ห้อนอกเหนือจาก Wixey ที่ผลิตเครื่องมือวัดเป็นดิจิตอลสำหรับเราชาวงานไม้โดยเฉพาะ และราคาก็ไม่แพงมากจนเกินไป แต่ต้องสั่งเข้ามาเองนะครับเพราะไม่มีขายในบ้านเรา หากได้มาเมื่อไหร่ จะนำมาปรับแต่งน้องฮาร์วี่ย์อีกครั้งเพื่อความเที่ยงตรง 100%

        ที่จริงผมว่างบ่อยๆไม่ได้เข้าช็อปก็ไม่ดี ทำให้ผมมีเวลาไปดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย และเครื่องมือแต่ละชิ้นมันก็ช่างยั่วตายั่วใจ ยากที่จะห้ามใจเสียเหลือเกิน แล้วก็สำนักต่างๆก็ชอบส่งข้อมูล เรื่องโปรโมชั่นลดโน่นลดนี่มาให้ผมกันเสียเหลือเกิน ....เฮ้อ...กิเลสจริงๆ ดันไปสะดุดเอาเครื่องมืออีกตัวเข้าแล้วซิ สงสัยว่าจะเลิกใช้คอมพิวเตอร์เข้าเน็ท อ่านเมลล์ และไม่อ่าน Facebook สักพักจะดีไหม

น้องฮาร์วี่ย์ 46: 

         ห่างหายไปหลายวัน มาคราวนี้เขียนแบบเสร็จแล้วและตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำในแบบที่จะยึดตัวโต๊ะรับไม้ติดกับน้องฮาร์วี่ย์เลยและใช้บานพับเปียโนในการยึดระหว่างโต๊ะรับไม้กับน้องฮาร์วี่ (ผมเองก็ไม่เคยใช้บานพับเปียโนมาก่อนแต่เท่าที่ดูวิดีโอการทำโต๊ะรับไม้ของต่างประเทศเห็นก็มีใช้กัน จึงน่าที่จะใช้ได้)

        เนื่องจากโต๊ะรับไม้เมื่อทำออกมาแล้วท่าทางจะหนักพอควร การที่จะยกเข้ายกออกคงไม่สะดวกเลยจะทำติดไปเลย เมื่อเวลาไม่ใช้และต้องเอารถเข้าจอด ก็จะพับโต๊ะรับไม้ลงและห้อยไว้ด้านหลังของน้องฮาร์วี่ย์

        ในส่วของขาโต๊ะที่พับได้ทั้ง 2 ขา ผมยังดูอยู่ว่าอาจจะต้องทำไม้ยึดขาโต๊ะด้านล่างทั้ง 2 ไว้ด้วยกันเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับขาทั้ง 2 ข้างอีกด้วยเมื่อกางออกมาใช้

        ที่ตัวรางของน้องฮาร์วี่ย์ด้านหลัง ทางโรงงานก็เจาะรูมาให้เพื่อที่จะติดตั้งโต๊ะรับไม้ไว้ให้เรียบร้อยแล้วโดยผมไม่จำเป็นที่จะต้องไปเจาะอะไรน้องฮาร์วี่ย์อีก  (ถ้าต้องเจาะผมคงไม่เลือกวิธีนี้แน่นอนครับ แค่เจาะติดตัวอ่านระยะรั้วตัดดิจิตอลของ Wixey ไป 2 รูก็เหงื่อตกแล้ว) โดยโรงงานเตรียมพร้อมไว้ให้ทั้งหมด 6 รู แบ่งเป็นกลุ่มละ 3 รู น่าจะพอเพียงที่จะยึดไม้ได้แน่นหนาดีพอสมควร

       หลังจากตัดสินใจได้แล้วจึงทำการร่างแบบด้วย Sketchup ได้รูปออกมาตามที่เห็นละครับ เพื่อที่จะได้ไปทำต่อได้แล้ว 

น้องฮาร์วี่ย์ 47:

        หน้าตาโต๊ะรับไม้ที่ปรับปรุงล่าสุดให้มีไม้ยึดระหว่างขาทั้ง 2 ข้างเพื่อความมั่นคงน่ะครับ เนื่องจากขาโต๊ะสูงพอสมควร (โต๊ะสูง 34 นิ้้ว)และจุดที่ขาโต๊ะจะยึดติดกับพื้นโต๊ะด้านล่างก็ไม่ใช่เหล็กเหมือนกับขาโต๊ะน้องฮาร์วี่ย์ เป็นแค่แผ่นไม้อัด 15 มม. ที่นานไปสกรูที่ยึดไว้อาจจะรูดและถอนออก หากขาโต๊ะโยกไปโยกมาได้ง่าย

        จากนี้ก็ต้องไปตัดไม้เพื่อนำมาทำคานและเป็นจุดยึดของทั้งที่น้องฮาร์วี่ย์ และที่โต๊ะรับไม้ โดยที่ผมตัดสินใจเลือกใช้ไม้ยางพาราประสานที่มีอยู่นำมาตัดต่อให้ได้ขนาดและความยาวตามต้องการ รวมถึงไม้ที่จะนำมาปิดขอบด้วยที่ผมจะใช้ไม้ยางพาราประสานที่มีอยู่มาปิดขอบแทนไม้แอช เนื่องจากผมยังไม่สามารถไสชิดแผ่นไม้แอชที่มีอยู่ได้

       ส่วนคานใต้โต๊ะช่วงที่ขาทั้ง 2 จะต้องพับเมื่อจะเก็บโต๊ะ เดี๋ยวขอผมดูตอนทำก่อนว่าจำเป็นจะต้องมีหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ได้คิดที่จะทำเกรงว่าจะทำให้น้ำหนักมันเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ถ้าจำเป็นเดี๋ยวค่อยดูอีกทีเพราะการเพื่มเข้าไปทีหลังก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร

      หากไม่มีอุปสรรค์อะไรมากมาย สัปดาห์นี้ผมคิดว่าก็น่าที่จะทำเสร็จ จะได้ทำส่วนที่เหลือคือ Zero clearance Insert plate อีกชิ้นที่เหลือให้เสร็จ จะได้เดินเครื่องน้องฮาร์วี่ย์เพื่อทดสอบการทำงานส่วนต่างๆให้พร้อมสมบูรณ์ ก่อนที่ผมจะได้เริ่มกลับไปทำช็อปผมต่อซะที

โต๊ะก็สวยแบบก็สวยคนเขียนแบบก็เก่งๆไปหมดคนไรก็ไม่รู้.....อิจฉาโว้ย.....555

คุณเอ็ม

ถ้าเป็นเครื่องเจาะรูเหลี่ยมร่ะ

เอาตัวไหนดี แบบตั้งโต๊ะอ่ะคับ

ฝากการบ้านไปทำหน่อยน่ะ

คือคุณเอ็ม เป็นพวกอยากได้ไร

ต้องสืบ เซาะ วิจัย วินิจฉัย

ผมเชื่อใจคุณ เลือกให้หน่อยน้า

คุณป้อม

      ความพยายามสูง ขยันอ่านนะครับ นับถือๆ ท่าทางจะเพิ่งเข้ามาใน webboard นี้แน่เลย ยินดีต้อนรับครับ ผมน่ะไม่ได้เก่งหรอกครับเพียงแต่ขยันอ่านหนังสือกับขยันดูวิดีโอสิ่งที่ผมสนใจซึ่งเป็นนิสัยปกติของผมแค่นั้นเองครับ

      แต่ makita ที่จองน่ะได้คิวที่ 2 นะครับ คุณกฤษณะจองมาคิวแรกเลยทาง e-mail แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดจะขายตอนนี้น่ะครับเพราะผมเป็นคนขี้เกียจเปลี่ยนใบเลื่อยครับ ตั้งแต่ซื้อมาปรับได้ที่แล้วก็ยังไม่เคยถอดอีกเลย

      จองโต๊ะเลื่อย Makita คิวแรกของคุณ i3ird ไว้เลยก็ได้แว่วๆมาว่าอยากจะขายทิ้งแล้วมั้ง

  ครับ จริงๆแล้วผมเข้ามาในเวปนี้ประมาณหนึ่งปีแล้วละครับ มาเก็บความรู้ มาผลงานต่างๆของคนที่ชอบในสิ่งเดียวกัน แต่ผมไม่ค่อยมีเวลาได้ทำครับ สถานที่ไม่เอื้ออำนวยครับ สรุป ฝีมือยังอ่อนอยู่เลยครับ

คุณ i3ird

      มาอิจฉาอย่างเดียวเลยนะ เดี๋ยวยิ่งอ่านจะยิ่งอิจฉาขึ้นไปอีกแน่ๆครับ อยากจะบอกว่าได้ให้น้องฮาร์วี่ย์โชว์ตัวไปแล้ว ตัดไม้ทำโต๊ะรับไม้ให้ตัวเอง นิ่มจริงๆเลย แถมเสียงก็หวานบาดหัวใจอีกต่างหาก เดี๋ยวรอทำโต๊ะรับไม้กับ Zero clearance Insert Plate เสร็จก่อนจะให้น้องเขาได้ลองพี่โด้แล้วละครับ เฮ้อ...หลงรักจริงๆเล้ย

 คุณป้อม

     คงเหมือนๆกับผมเมื่อ 3 ปีก่อนอยู่คอนโดเลยทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ไม่เป็นไรพร้อมเมื่อไรค่อยทำต่อก็ได้ ศึกษาหาความรู้ไปก่อนครับ

รูป Powermatic 701 - JET JBM-5 - และ 2 รูปล่าง คือ รุ่น RMS-3816 จากจีน 

 ตุณ Pakae

       ผมไม่ได้เชียวชาญอะไรหรอกครับอาศัยอ่านเยอะเท่านั้น และเท่าที่ผมเคยศึกษามานานแล้วสำหรับเครื่องเจาะเดือยเหลี่ยม(Chisel Mortiser) แบบต้้งโต๊ะตัวที่เคยอ่านการทดสอบในต่างประเทศแล้วผมชอบเลยคือ Powermatic 701 ซึ่งขายอยู่ในอเมริกา และตอนหลัง JET ได้ซื้อกิจการบริษัท Powermatic ไป ทำให้ปัจจุบันมีทั้ง 2 ยี่ห้อคือทั้ง Powermatic 701 ขายในอเมริกา และ Jet 701 ขายที่อื่นๆ ส่วนของ JET ก็มีสินค้าของตนเอง คือรุ่น JBM-5 แต่สู้ 701 ของ Powermatic ไม่ได้

     แต่ทั้ง JET 701 และ JBM-5 ตัวแทนในไทยก็ไม่ได้นำเข้ามาขาย เลยไม่มีทางเลือกจึงต้องไปดูของที่มาจากจีนแทน และเท่าที่ผมเคยเห็น รุ่นที่ขายกันมากที่สุดคือ RMS-3816 ที่เอามาติดยี่ห้อต่างๆกันมากมาย ไม่ว่าจะ KTW, KT, D-Plus, Geetech, Okura ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งตัวนี้จำได้ว่าเป็นรุ่นที่ clone มาจากสินค้าแบรนด์ อิตาลี รุ่นหนึ่งแต่จำยี่ห้อไม่ได้แล้ว คุณภาพที่ผลิตมาก็ไม่ค่อยเนี๊ยบแบบจีนที่ส่งขายตลาดราคาถูกทั่วไปละครับ ส่วนอีกรุ่นจะเป็น MK361A ที่เอามาติดยี่ห้อกันหลายยี่ห้อเหมือนกัน

    ผมเองในที่สุดก็ซื้อรุ่น RMS-3816 มาใช้เหมือนกันครับ (เพราะไม่มีทางเลือก และคิดว่ามันไม่ใช่เครื่องมือหลัก) ซึ่งก็พอใช้งานได้ดีระดับหนึ่งครับ แต่กำลังมอเตอร์น้อยไปหน่อยแค่ 1/2 แรงม้า สำหรับ RMS-3816 และ 3/4 แรงม้าสำหรับ MK361A เท่านั้น จึงทำให้เจาะไม้ที่แข็งๆมากไม่ค่อยไหว ต้องเอาไปเจาะด้วยดอกสว่าน หรือดอก forstner ก่อนก็ช่วยได้เยอะครับ

    ข้อสำคัญคือควรหาซื้อดอกเจาะเดือยเหลี่ยมที่ผลิตในญี่ปุ่นมาใช้แพงหน่อย @ 1,200-1,800 บาท แต่คมและแกร่งกว่าดอกจากจีน @ 200-350 บาท มากครับ

     ที่ Thaicarpenter.com นี่ก็มีขายทั้งเครื่อง RMS-3816 ราคาประมาณ 9K เศษ สำหรับเครื่อง และดอกจากญี่ปุ่นครับ ลองดู 

น้องฮาร์วี่ย์ 48:

         ติดค้างมาจาก น้องฮาร์วี่ย์ 45: เมื่อติดกาวประกบแผ่นไม้อัดกับแผ่น MDF เพื่อทำเป็นพื้นโต๊ะฯได้แล้ว ผมจึงเอาไปทดลองวางดูเพื่อหาระดับที่เหมาะสม เพื่อหาวิธีทำจุดเชื่อมด้วยบานพับเปียโน กับรางด้านหลัง

         ผมรองแผ่นพื้นโต๊ะไว้ด้วยม้าเลื่อยไม้ของ FULTON ทำด้วยเหล็กของอเมริกาที่มีอยู่ซึ่งซื้อมาจาก True Value ช่วงลดราคา 20% ที่ซื้อมานานแล้วเหมือนกันละครับ ที่มันโดนใจผมก็เพราะความที่มันพับเก็บได้นี่แหละครับ ผมแค่เอาไม้ไปติดเสริมเพิ่มเติมที่ด้านบนของม้าเลื่อยเท่านั้น แต่ข้อเสียก็มีคือที่ขาโรงงานไม่ได้พับเหล์กให้เรียบร้อยจึงทำให้มันคมอาจโดนบาดได้ ซึ่งผมเคยอ่านที่ผู้ใช้ในอเมริกาเคยวิจารณ์ไว้ ทำให้ผมต้องเอาพลาสติคกันบาดของช่างไฟฟ้ามาปิดเพื่อให้ปลอดภัยไว้ก่อนละครับ ก็สามารถใช้งานได้ดีระดับหนึ่งในราคาประมาณพันบาทต้นๆ 

น้องฮาร์วี่ย์ 49:

      ทดลองปรับระดับและทดสอบการทำงานจริงว่าจะไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของโต๊ะฯที่ทำขึ้น ขัดขวางไม้ที่ดันออกไปจากน้องฮาร์วี่ย์ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายในการทำงานได้ซึ่งตามทฤษฎีที่อ่านมาเขาให้โต๊ะรับไม้ ต้องมีระดับที่ต่ำกว่าโต๊ะเลื่อย ระหว่าง 1/16-1/32 นิ้ว

น้องฮาร์วี่ย์ 50:

       ผมเอาท่อนไม้ยางพาราประสานที่ได้ซื้อไว้นานมากๆแล้วโดยตั้งใจตั้งแต่ตอนซื้อมาจากโฮมโปรว่าจะเอาไว้ทำขาโต๊ะมาต่อชนไม้กันด้วยการต่อแบบ half lap joint เนื่องจากไม้ยางพาราประสานที่มีอยู่แต่ละท่อนมันสั้นเกินไป ผมต่อไว้ 2 ชุดและทิ้งไว้ข้ามคืน เมื่อกาวแห้งดีแล้วก็เอาไปไสด้วยเครื่องรีดให้เรียบทุกด้านทั้งท่อนก่อน เสร็จแล้วจึงลองเอาไปวางดูเพื่อจะดูว่าจะยึดเข้ากับน้องฮาร์วี่ย์ได้อย่างไร

      ส่วนบานพับเปียโนที่จะใช้ก็หน้าตาเป็นแบบนี้ละครับ มีความยาวเส้นละ 3 เมตรของ Hafele ซื้อมาจากบางโพสัก 1 ปีแล้วครับได้เอาออกมาใช้ก็งานนี้แหละครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 51:

        กองหนุนขนานแท้ครับ หนุนกันเข้าไปหลายชั้นหน่อยเพื่อหาระดับที่เหมาะสม และทดสอบร่วมกันกับส่วนอื่นๆ เพื่อหาจุดที่จะติดตั้งบานพับเปียโนเทียบกับแบบร่างที่ได้เขียนไว้

น้องฮาร์วี่ย์ 52: 

      เนื่องจากผมได้ติดตั้งและปรับระดับพื้นโต๊ะรับไม้ให้ได้ระดับที่เหมาะสมแล้ว ผมจึงปลุกให้น้องฮาร์วี่ย์ตื่นเพื่อทำบังใบกับท่อนไม้ยางพาราประสาน เพื่อให้สามารถใส่ไปในร่องของรางด้านหลังได้ โดยมีลูกชายมานอนดูผมทำงานอยู่ด้านนอกช็อปด้วย

น้องฮาร์วี่ย์ 53:

      เมื่อทำบังใบและเอามาทดสอบได้ระยะที่เหมาะสมแล้ว ทำการวัดความยาวของไม้ที่จะใช้ แล้วจึงนำไปตัดด้วยเลื่อยองศาแบบสไลด์ นำไปวางและเจาะรูผ่านรูใต้รางเพื่อยึดไม้ด้วยสกรูเข้ากับรางเป็นการชั่วคราวก่อนโดยผมมุดเข้าไปใต้น้องฮาร์วี่ย์ด้านหลังแล้วเจาะนำไม้ผ่านรูสกรูขึ้นไปแค่ 2 รูก่อน

     เนื่องจากจะต้องใส่เข้า- ถอดออกอีกหลายรอบ เอาไว้ไม่มีอะไรแก้ไขแล้วถึงจะเจาะยึดทั้งหมด 6 ตัวเลยในภายหลัง

น้องฮาร์วี่ย์ 54:

        วางไม้ไว้บนรางด้านหลังให้เข้าที่และตรงตำแหน่งที่ต้องการ แล้วเอาแคล้มหนีบไม้ไว้ก่อนเพื่อเจาะนำด้วยดอกสว่าน เสร็จแล้วยึดด้วยสกรูเบอร์ 10 กับแหวน 2 ตัวก่อนเป็นการชั่วคราว

น้องฮาร์วี่ย์ 55:

        สุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยน(อีกแล้ว) กลับไปใช้ไม้แอชแทนไม้ยางพาราประสานสำหรับทำขอบโต๊ะ และแผ่นยึดโต๊ะรับไม้เข้ากับน้องฮาร์วี่ย์ เพราะมันน่าจะแข็งแรงและสวยกว่าแผ่นไม้ยางพาราประสาน(กลัวไปทำให้น้องเขาขี้เหล่น่ะครับ)

        เอาแผ่นไม้แอชตัดให้ได้ความยาวตามต้องการโดยเผื่อไว้ประมาณ 1 นิ้ว เนื่องจากจะได้จับฉากหลังจากที่ไสชิดได้ฉากแล้ว เอาแผ่นไม้ไปทำการไสเรียบทั้ง 2 หน้าก่อนด้วยเครื่องรีดเสร็จแล้วจึงนำไปทำการใสชิดด้วยเครื่องทริมเมอร์ กับดอกกัดตรงปลายลูกปืน โดยผมใช้ขอบของพื้นโต๊ะส่วนที่เป็นแผ่น MDF เป็น guide แล้วยึดแผ่นไม้แอชกับพื้นโต๊ะ โดยให้ขอบของไม้แอชยื่นโผล่ออกไปทีละน้อย ผมเดินทริมเมอร์2ครั้งก็ได้ขอบไม้ที่ตรงและเรียบแล้ว

       เมื่อไสชิดได้ฉากมาด้านหนึ่งแล้ว ผมก็เอาไปทำด้านที่เหลือด้วยน้องฮาร์วี่ย์โดยใช้รั้วตัดเป็น guide และเอาด้านที่ไสชิดด้วยทริมเมอร์สไลด์ไปตาม guide ครับก็จะทำให้ได้แผ่นไม้ที่ไสชิดทั้ง2ด้านเพื่อเอาไปใช้งานต่อไป

น้องฮาร์วี่ย์ 56: 

         อีกด้านหนึ่งผมก็เอาท่อนไม้ยางพาราประสานที่ทำบังใบแล้วไปชิดกับอีกท่อนที่แหลือด้วยกาวแล้วใช้แคล้มป์บีบไว้ รอให้กาวแห้งข้ามคืน เป็นการเพิ่มความกว้างให้มากขึ้น สำหรับเอาไว้ยึดบานพับเปียโน 

น้องฮาร์วี่ย์ 57:

       หลังจากทิ้งไว้ข้ามคืนกาวน่าจะแห้งดีแล้วครับ เลยจับเอามาลองใส่เข้าที่เพื่อดูความหนาเมื่อเทียบกับพื้นโต๊ะน้องฮาร์วี่ย์ ก่อนที่จะนำไปไสเพื่อปรับให้ได้ขนาดตามที่ต้องการ จึงจะเก็บงานด้วยการขัดกระดาษทรายให้เรียบทุกด้านก่อนจะปิดผิวด้วยแผ่นวิเนียร์ในขั้นตอนสุดท้าย

       เท่าที่ดูแล้วเนื่องจากผมทำโต๊ะรับไม้ที่มีความกว้างพอสมควร จึงยังดูอยู่ว่าจะต้องเจาะรูที่น้องฮาร์วี่เพิ่มอีก 1รูเพื่อใส่กสรูให้มีความแน่นหนามากขึ้นหรือเปล่า ขอดูตอนประกอบงานขั้นสุดท้ายอีกครั้งนะครับ

อยากเห็นตัวจริงตัวเป็นๆอะพี่คร้าบ...ให้ผมไปดูหน่อยได้มั้ยอ่า.....

คุณ i3ird

      อยากเห็นจนนอนไม่ค่อยหลับเลยละซิ ยินดีต้อนรับเสมอครับ เห็นตัวจริงแล้วจะอดใจไม่ไหวนะขอบอก

น้องฮาร์วี่ย์ 58:

        มาถึงขั้นตอนยาขมสำหรับผมอีกแล้วครับคือการติดแผ่นวิเนียร์ด้วยกาวยางครับ ผมตัดแผ่นวิเนียร์ไว้ 2แผ่นให้ใหญ่กว่าพื้นโต๊ะเล็กน้อย แต่เนื่องจากผมเองก็ติดแผ่นวิเนียร์ด้วยกาวยางมาก็หลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่เรียบอย่างที่ต้องการสักครั้ง ดูวิดีโอก็เยอะ แต่เวลาทำจริงๆ กาวมันก็ยังไม่เรียบเหมือนเดิม ผมจึงจำเป็นที่ต้องลองปิดผิวด้านใต้โต๊ะฯก่อน แล้วค่อยไปติดด้านบนอีกครั้งทีหลัง (เพื่อลองมือก่อนอีกครั้งน่ะครับ)

       ผมจับพื้นโต๊ะหงายท้องทากาวเพื่่อติดแผ่นวิเนียร์ด้านล่างก่อน โดยทากาวยางทั้ง 2 ที่ ทั้งที่แผ่นไม้อัดและที่แผ่นวิเนียร์แล้วก็รอให้แห้งหมาดๆสักพักก่อนค่อยประกบติดกัน เมื่อประกบติดกันแล้วก็รีดอากาศออกเสียหน่อย และผมคงจะทิ้งไว้สักคืนก่อนค่อยมาเก็บงานและปิดวิเนียร์ที่ผิวหน้าโต๊ะด้านบนต่อครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 59: 

       ติดแผ่นวิเนียร์ด้านล่างโต๊ะก่อนเพื่อทดสอบความเรียบของการทากาวยาง (ที่ผมยังไม่เคยทาได้เรียบเป็นที่พอใจของผมสักที) ผมต้องเอาแคล้มป์มาช่วยหนีบไว้เบาๆตามขอบๆที่มักจะอ้าออกนิดๆทุกที  ก่อนที่ผมจะตัดขอบด้วยทริมเมอร์และปิดแผ่นวิเนียร์พื้นโต๊ะที่เหลือด้านบนต่อไป

       เนื่องจากตามที่ผมเคยอ่านหนังสือและดูวิดีโองานไม้มา ผู้เชี่ยวชาญหลายๆท่านแนะนำให้ปิดแผ่นวิเนียร์ทั้ง  2 ด้านเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวด้านที่ไม่ได้ถูกปิดด้วยแผ่นวิเนียร์จะดูดซับความชื้นมากกว่าด้านที่ปิดแผ่นวิเนียร์ ซึ่งเมื่อนานไปจะทำให้แผ่นไม้โก่งได้ครับ ผมถึงต้องปิดผิวทั้ง 2 หน้าตามที่เขาแนะนำกันไว้ละครับ

      เหนื่อยเหมือนกันแต่ก็ใกล้ที่จะเสร็จแล้วละครับ เหลืองานติดวิเนียร์ที่พื้นผิวโต๊ะอีกด้านที่เหลือ กับติดผิวด้านบนของไม้คานยึดรางด้านหลัง งานทำไม้จริงปิดขอบโต้ะและเซาะร่อง miter งานทำขาโต๊ะ งานติดบานพับเปียโน และงานติดตั้งโต๊ะเข้ากับน้องฮาร์วี่ย์

พี่เอ็ม...ลองติดแผ่นวีเนียร์แล้วใช้เตารีดความร้อนน้อยๆรีดตามแผ่นวีเนียร์สิครับจะทำให้กาวยางที่ด้านใต้เรียบสม่ำเสมอไม่เป็นลอนคลื่นแต่ก่อนผมติดก็เป็นแบบที่พี่ว่าเหมือนกันพอตอนหลังใช้เตารีดแล้วใช้ลูกกลิ้งปาดบนแผ่นวีเนียร์ซ้ำอีกทีเรียบสนิทได้ใจจริงๆ(สูตรของฝรั่งเค้านะ)

วันไหนไปดูกัน ขอไปด้วยคนน้า

อยากได้เหมือนกานเลย

ขอบคุณ คุณเอ็มมาก เรื่องข้อมูล

ผมอยากได้ powermatic 701 มากเลย

มันกินขาดในทุกเรื่องเลย แต่ซื้อยังไงร่ะ

ถ้าใครอยากซื้อผมฝากด้วยน่ะ

ผมพวกไม่มีบัตรไรเลย แคสอย่างเดียว

ไม่มีหลักฐาน ให้คนข้างบนเล่นได้

คุณ i3ird

       มาอ่านช้าไปหน่อยมัวแต่อยู่ในช็อป ผมติดหน้าที่ 2 ไปแล้วละครับ และสงสัยจะแห้งไปแล้วด้วยเพราะทากาวแล้วลืมประกบกันทิ้งไว้ซะเกือบครึ่งชั่วโมงเลย และผมลองเอาเตารีดไปไถดูตามคำแนะนำแล้วสักพักแต่ไม่สะเทือนเลย เดี๋ยวคราวหน้าจะลองเทคนิคเตารีดที่แนะนำดูใหม่ตอนที่ยังไม่แห้งน่ะครับขอบคุณในทิปดีๆสำหรับมือสมัครเล่น

       ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าผมจะใช้กาวยางมากเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอปาดไม่ทัน แล้วมันแห้ง ทีนี้พอปาดซ้ำเลยกลายเป็นเม็ดๆนะครับ ยาขมจริงๆ กาวยางนี่แหละ สงสัยคงต้องฝึกปาดบ่อยจะได้ชำนาญขึ้น

คุณ Pakae

      JET 701 ถ้าอยากได้คงต้องลองติดต่อทาง JET ไทยสั่งให้ (ไม่แน่ใจว่าสั่งได้หรือเปล่า) ผมเคยติดต่อ sales ที่ JET ไทย บอกว่าของที่ไม่ได้สั่งเข้ามาขาย (หากเป็นรุ่นที่สั่งได้)จะใช้เวลา 150 วันกว่าจะได้ของเลยละครับ(แม่เจ้าไปอ้อมโลกไหนก่อนไม่รู้) และต้องมาทางเรื่อ เนื่องจากมีน้ำหนักมากพอควร หากสั่งเอาเข้ามาเองตัวเดียวคงลำบากครับและน่าจะไม่คุ้มค่าขนส่งและภาษีนำเข้านะครับ

       ส่วน Powermatic 701 ยิ่งน่าจะยุ่งยากมากขึ้นไปอีกแม้ว่าจะสั่งเข้ามาได้ก็ตามแต่ระบบไฟฟ้าจะเป็น 110v ต้องใช้ตัวแปลงไฟฟ้าจาก 220v เป็น 110v ผมว่าถ้าไม่ติดใจจริงๆ อย่าไปยุ่งดีกว่าครับ เทียบกับน้องฮาร์วี่ย์ของผมที่ใช้ไฟฟ้า 220v อยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา

น้องฮาร์วี่ย์ 60:

       ในที่สุดผมก็ติดแผ่นวิเนียร์ที่พื้นโต๊ะฯ ทั้ง 2 ด้านเสร็จแล้วด้วยความทุลักทุเลพอสมควรเลยครับ เพราะกาวยางมันข้นและแห้งเร็วจริงๆ พอปาดซ้ำทีนี้เป็นก้อนๆเลย ทั้งที่ก็ใช้ dunlop ป๋องแดงแล้วนะ (อ.เอ๋) สงสัยต้องซื้อ dunlop ป๋องฟ้าแบบพ่นมาลองใช้ดีไหมเพราะแบบพ่นน่าจะใสกว่าป่าวใครพอมีประสบการณ์บ้างครับ 

      เฮ้อ.. ยากจริงๆ แต่ก็เอาละครับทำเองใช้เองมีคลื่นลมบ้างก็สวยดีไปอีกแบบ 555

      ต่อไปเป็นการทำไม้ปิดขอบ ผมเลือกเอาไม้แอชมาไสชิดด้วยเร้าเตอร์อีกแผ่น ก่อนที่จะเอาไปปรับอีกด้านด้วยน้องฮาร์วี่ย์โดยใช้รั้วตัดเป็น guide จากนี้ก็คงเอาไปซอยแบ่งให้ได้ขนาดของขอบโต๊ะฯด้วยน้องฮาร์วี่ย์กับน้องมากิ เลื่อยตัดองศาสไลด์ของผมละครับ 

ผมไปได้ที่ร้านคุณนุมาแล้วววว

just now

แต่ก้อยังอยากได้อยู่ถ้าซื้อ 701 ได้

ผมขอด้วยคนแรกเลย

Thank you for you info

คุณ Pakae

     ถ้าถามความเห็นผมนะผมว่าเอาเงินไปซื้อสว่านแท่นตั้งพื้นดีๆเช่น JET JDP-17F มาใช้ดีกว่า (ใข้งานได้หลายอย่างมากกว่า) ผมซื้อตัวนี้มาจาก JET ประเทศไทย ประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว @18,XXX ส่วนเครื่องเจาะเดือยเหลี่ยมใช้ของจีนก็พอได้ครับ ไม้ที่แข็งๆก็เอาไปเจาะด้วยดอกสว่าน หรือดอก Forstner ที่สว่านแท่นก่อนแล้วเอากลับมาเจาะเหลี่ยมต่อง่ายกว่าครับ 

    ตัวที่ผมอยากได้จริงๆมากกว่าคือ Oscillating Spindle Sander 1 ใน 2 ตัวนี้ครับ JET JOVS-10 @46,400บาท (แบบตั้งพื้นหากมีงบ) หรือ JBOS-5@ 18,000 บาท (แบบตั้งโต๊ะ) น่าจะซื้อได้ไม่เกิน 37,xxx และ 14,xxx บาทตามลำดับ แต่ต้องรอ 5 เดือนอ่ะ ผมน่ะวางแผนรอน้องจอย JPT310 ก่อน เลยยังแค่แอบๆมองอยู่เท่านั้น (update 2-3-2557: ในที่สุดผมก็ได้ JET JBOS-5 มาแล้วครับ)

     ส่วนตัว JET 701 เดี๋ยวถามราคา JET ไทยให้ว่าราคาเท่าไร(ถ้าเขาสั่งให้ได้นะ) รอ 5 เดือนไหวไหมล่ะครับ อีกอย่างถ้าไม่จำเป็นจริงๆการซื้อเครื่องเข้ามาเองก็มีความเสี่ยงพอสมควรที่จะต้องพิจารณานะครับ เพราะ หากเกิดความเสียหายขี้นมาระหว่างขนส่ง หรือใช้ไปนานๆต้องการหาอะไหล่ก็อาจจะมีปัญหาซึ่งต้องระวังเหมือนกัน ตอนเอาน้องฮาร์วี่ย์เข้ามายังลุ้นอยู่จนถึงช็อปผมเลย

          จาก ความเห็นที่ 510 ที่ผมเคยเกริ่นไว้เรื่อง Digital Dial Gauge ของ iGaging ที่ผมสั่งซื้อไปเพื่อเอามาปรับแต่งน้องฮาร์วี่ย์ให้ ใบเลื่อย ร่อง Miter และรั้วตัดขนานกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดอาการ Kickback หรือผ่าไม้ออกมาแล้วขนาดหัวท้ายไม่เท่ากัน

      ตอนนี้เครื่องวัดก็มาถึงช็อปผมแล้วครับ เลยขอเอาออกมาคั่นเวลา ขอวัดน้องฮาร์วี่ย์ดูซะหน่อยให้หายแคลงใจก่อนว่า ที่ปรับไว้ด้วยฉากกับสายตาของผมที่ว่ามันใช้ได้แล้วน่ะมันจะเที่ยงตรงแค่ไหนครับ

      เครื่องวัด Dial Gauge ตัวนี้เป็นแบบดิจิตอลยี่ห้อ iGaging รุ่น 35-128 สามารถวัดได้ละเอียดถึง 0.01มม. หรือ 0.0005 นิ้วหรือ 1/128 นิ้ว และช่วงวัดจะอยู่ที่ 1 นิ้วหรือ 25มม. มีแขนปรับได้พร้อม Miter bar มาให้ด้วยเพื่อใช้วัดเครื่องมืองานไม้ที่ใช้รั้ว กับร่อง Miter เช้นโต๊ะเลื่อย เลื่อยสายพาน โต๊ะเร้าเตอร์ เป็นต้น และยังสามารถวัดความสูงของใบมีดเครื่องไสชิด ได้อีกด้วย

      ปลายวัดที่ตัวเครื่องทำด้วยคาร์ไบด์สามารถถอดเปลี่ยนได้ ใช้แบตเตอรี่ CR2032 ที่ให้มากับเครื่อง แถมอะไหล่ให้อีก 2 ก้อน อ่านดูบอกว่าอายุของแบตเตอรี่คือ 1 ปี แต่แบตฯแบบนี้หาซื้อได้ทั่วไปไม่มีปัญหาอะไร

     แกะกล่องออกมาก็เจอชิ้นส่วนหลักๆ 3 ชิ้นได้แก่ iGaging Digital Indicator, 6" x3/4" Miter Bar และ 9" x  3/4" Sliding Bar แถมมาให้ด้วยประแจหกเหลี่ยมหัวบอลล์ สำหรับเอาไว้ประกอบและปรับแต่งครบถ้วนครับ

         นำชิ้นส่วนต่างๆที่มีมาในกล่องออกมาประกอบกัน แล้วทำมาทดสอบเพื่อดูความขนานของใบเลื่อยกับร่องสไลด์ (Miter Slot) โดยเอา Miter bar ของเครื่องวัดใส่ลงไปใน Miter slot ช่องขวาก่อนปรับให้ miter bar ฟิตพอดีกับ miter slot

         เมื่อปรับได้ที่แล้วจึงเลื่อนเครื่องวัดไปตามรางไปยังจุดกึ่งกลางของใบเลื่อยก่อนแล้วกดปุ่ม reset เพื่อตั้งให้ค่าเป็นศูนย์ จากนั้นจึงเลื่อน Dial Gauge ไปตามร่องสไลด์จากหน้าไปหลัง ผลปรากฏว่า ที่สายตาผมเห็นว่าตรงแล้วมันยังไม่ตรงจริงๆ 100% ครับ ยังมีค่าคลาดเคลื่อนอยู่บ้างเล็กน้อยระหว่าง 0.02- 0.04 มม 

      ทีนี้มาลองวัดรั้วตัดดูบ้างครับ ผลปรากฎว่าคลาดเคลื่อนเล็กน้อยเช่นเดียวกัน อยู่ระหว่าง 0.01-0.06 มม. ซึ่งผมทำการปรับที่สกรูของรั้วตัดเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้วครับเหลือที่ 0.01 มม. ซึ่งอาจเป็นเพราะผิวของรั้วตัด ส่วนของรางสไลด์กับใบเลื่อยยังไม่ได้ปรับเพราะคลาดเคลื่อนเล็กน้อยที่ไม่น่าจะมีผลอะไรอยู่ระหว่าง 0.02- 0.04มม. หรือ 2/100 -4/100 มม. เท่านั้น เอาไว้ให้ทุกอย่างเข้าที่และ Run-in ไปสักพักค่อยมาวัดดูใหม่อีกครั้งครับ

      ก็เป็นอันมั่นใจได้ว่าน้องฮาร์วี่ย์เพรียบพร้อมทุกอย่างแล้ว และน่าจะพร้อมที่ออกงานได้แล้วละครับ รอทำงานที่เหลือสัปดาห์หน้าให้เสร็จก่อน เพราะฝนตกเลยปิดช็อปไปแล้ว ไม่ได้ทำงานต่อ กลางสัปดาห์หน้าถึงจะกลับมาทำต่อ ขอหนีไปงานสังคม ตจว. ก่อนและก็ได้โอกาสที่จะไปพักผ่อนด้วยเลยครับ ตอนนี้เลยคลุมผ้าใบไว้ละครับ ให้น้องเขาได้นอนพักผ่อนไปก่อน เหนื่อยมาทั้งสัปดาห์แล้วน่ะครับ

ว้า....ขั้นโฆษณาอีกแร้วรีบๆมาต่อนะพี่

คุณ i3ird

       ขอคั่นโฆษณาหน่อยก่อน กลางสัปดาห์หน้าถึงจะกลับมาต่อไหม่ครับ และผมก็จะกลับมาสารภาพว่าแอบไปกิ๊กกะน้องเคร็ก (KREG) Precicion Routing System มาอีกแล้วอ่ะ เคยเห็นไวๆที่ช็อปคุณ i3ird เป็นตัวนี้หรือเปล่า 

http://www.youtube.com/watch?v=vAIiZMB3Xz8

http://www.youtube.com/watch?v=ajOPQwU_Y5Q

   ในที่สุดผมก็ติดแผ่นวิเนียร์ที่พื้นโต๊ะฯ ทั้ง 2 ด้านเสร็จแล้วด้วยความทุลักทุเลพอสมควรเลยครับ เพราะกาวยางมันข้นและแห้งเร็วจริงๆ พอปาดซ้ำทีนี้เป็นก้อนๆเลย ทั้งที่ก็ใช้ dunlop ป๋องแดงแล้วนะ (อ.เอ๋) สงสัยต้องซื้อ dunlop ป๋องฟ้าแบบพ่นมาลองใช้ดีไหมเพราะแบบพ่นน่าจะใสกว่าป่าวใครพอมีประสบการณ์บ้างครับ 

    ถ้าจำไม่ผิด ผมใช้ทินเนอร์ผสมในกาวยางครับครับ กาวยางจะเหลวขึ้นมาครับ  ลองดูครับ คุณ เทอดศักดิ์

    ขอคั่นโฆษณาหน่อยก่อน กลางสัปดาห์หน้าถึงจะกลับมาต่อไหม่ครับ และผมก็จะกลับมาสารภาพว่าแอบไปกิ๊กกะน้องเคร็ก (KREG) Precicion Routing System มาอีกแล้วอ่ะ เคยเห็นไวๆที่ช็อปคุณ i3ird เป็นตัวนี้หรือเปล่า

        ตัวนี้ก็น่าสนนะครับ       http://www.youtube.com/watch?v=lyTa5PUuQow

 คุณป้อม

      ขอบคุณคำแนะนำเรื่องเอาทินเนอร์ผสมกาวยางนะครับ แต่ผมเคยอ่านที่คุณเอ๋ เพาะช่างเขียนไว้ว่ามันใสขึ้นก็จริงแต่ความเหนียวในการติดจะลดลงไปด้วย เลยยังไม่กล้าใช้ แต่เห็นข้างกระป๋องเขียนไว้ว่าให้ใช้ทินเนอร์ T559 ของดันลอปเอง ผมก็ไม่เคยเห็น และไม่รู้ว่ามีขายหรือเปล่าน่ะครับ หากมีจะลองดูเผื่อจะช่วยได้บ้างครับ

      เรื่อง Festool นี่ผมมีประสบการณ์เคยสนใจ Domino DF500Q และได้ลองใช้ที่บู๊ทของ Hafele ในงานรวมพลคนรักงานไม้ครั้งที่ 6ด้วย (ครั้งก่อนหน้าโน้น) ชอบนะครับแต่พอดูราคาแล้วต้องล้มเลิกความตั้งใจไปเลยที่อเมริกายัง $850-900 เลย แต่ก่อนก็น้องๆ $1,000 เหมือนกัน HAFELE ประเทศไทยเป็นตัวแทนเอามาขาย ฿45,000 ตอนนี้ลดมาหน่อยเหลือ ฿40,000 เพราะมีตัว Domino XL700 ออกมาใหม่ $1,275 ถ้าเป็น Festool CMS router table ดูราคาในอเมริกาแล้ว $1,200  ขายในบ้านเราน่าจะ ฿60,000 up แน่เลย.... เอิ๊ก ม่ายไหวอ่ะครับ

     ดูท่าทางคุณป้อมนี่ก็คงสนใจเครื่องมือเหมือนกันนะครับ เพราะรู้จัก Festool CMS ด้วยน้อยคนที่จะรู้จัก ผมก็ชอบนะแต่ความคุ้มค่ากับราคาผมสู้ไม่ไหวแน่ๆ ถ้าเป็นคุณ i3ird ไม่แน่นะครับ เพราะแค่ Veritas ของแกราคาถึงไทยก็ตัวละ ฿10,000-30,000 แล้วแถมมีเป็นฝูงเลย (นับจำนวนไม่ถูกต้องเรียกเป็นฝูงถึงจะถูกครับ) Festool CMS นี่เด็กๆเลย (มีพาดพิงหน่อยนะครับ)

 ผมดูเรื่องเกี่ยวกับงานไม้ในyoutubeไปเรื่อยนะครับ แต่แปลไม่เเป็นหรอกครับ ว่าเขาพูดอะไบ้าง ดู แล้วจำ จำไม่ได้อัดลงแผ่น แล้วลองทำดูครับ

สว่านแท่นตั้งพื้น ผมมี 2 ตัวแล้ว

เล็กตัว ใหญ่ตัว ตอนนี้ทำโต๊ะเยอะครับ

ทำมือช้าไปนิดนึงไม่ทันใจ

เลยหาผมผ่อนแรงคับ

แต่ my Style ซื้อดีไว้ก่อนคับ

ปล Digital Dial Gauge ตัวนี้ผมชอบน่ะ

นี้ถ้าคุณเบริด์ยังไม่ขยับ คุณไล่ทันแน่ๆๆเลย

5555

 แรงบันดาลใจ router table ของผมก็ได้มาจากตัวนี้เหมือนกันครับพี่ แต่ของผมคงต้องแก้ไขเพิ่มเติมอีกเยอะ +555

โต๊ะเร้าเตอร์แบบที่ว่าผมไม่มีครับยังไม่คิดทุ่มทุนสร้างขนาดนั้นมีแต่เร้าเตอร์ลิฟท์ของ Rockler พร้อมเพลทเท่านั้นโดยผมนำมาสร้างเองรวมกับโต๊ะเลื่อยของเจ็ทอยู่ในขณะนี้

คุณป้อม

    น่าทึ่งนะครับที่ฟังไม่ออกแต่ยังดู รู้เรื่อง นับถือๆ

คุณPakae

       คุณ i3ird น่ะแกนำไปไกลแล้วตามยังไงก็ไม่ทัน แค่กบ Veritas ทั้งฝูงขอแกก็น่าจะซื้อช็อปผมได้ทั้ง ช็อปแล้ว ไม่ได้พูดเล่นนะครับ จริงๆ

คุณmonalisa

      น่าจะได้มือ DIY ผู้มีฝีมืออีกคนแล้ว ผมแวะไปดูงานที่ทำไว้เหมือนกัน 

คุณ i3ird

        ผมกลับมาแล้วโดยสวัสดิภาพ กลับมาเข้าช็อปเพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จเสียที แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าสัปดาห์นี้จะเสร็จหรือไม่นะครับ เพราะมีงานเลี้ยงชีพต้องไปทำอีกนิดหน่อยด้วย ต้องสลับไปทำก่อนบ้าง เหลือเวลาแค่ 4 เดือนเศษก็จะสิ้นปีแล้วตามที่ตั้งใจไว้ 

        ก่อนจะไปทำงานต่อ ขอเล่าเรื่องที่ไปปิ๊ง KREG Precision Router Table ให้ฟังก่อน เรื่องก็มีอยู่ว่า เดิมผมก็ตั้งใจว่าจะทำโต๊ะเร้าเตอร์เองเหมือนกัน เตรียมแบบที่ชอบไว้แล้ว(คราวนี้ไม่ต้องเขียนเอง) ได้แบบที่ละเอียด ของ Norm Abram แห่งThe New Yankee Workshop มาเรียบร้อยแล้ว แต่ช่วงที่ยังไม่ได้ทำก็คิดว่าจะเตรียมซื้ออุปกรณ์ทำโต๊ะเร้าเตอร์ตัวนี้ไว้ก่อน  เท่าที่เคยดูๆไว้อยากได้ Router Plate กับ Combinaton Miter slot และ Accessories อื่นอีก ของ KREG อีก 2-3 ตัว เลยวานให้น้องชายที่อยู่ที่อเมริกาดูให้ เพราะบางชิ้นเขาไม่ยอมส่งมาที่ประเทศไทย เลยกะว่าจะให้น้องชายซื้อแล้วส่งมาให้

        น้องชายไปดูราคาให้ที่ร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของ Kreg ทางร้านแนะนำให้ซื้อชุด KREG Precision Router Table กับ Accessories ที่เขาจัดโปรอยู่ ในราคาพิเศษ และเขาสามารถจัดส่งมาไทยให้ได้ในราคารวมค่าขนส่งแบบเหมาของเขาทาง FedEX และค่าภาษีศุลกากรให้ด้วย (upfront customs tax) ในราคาประมาณ $719 (รวมแล้วประมาณ 23,000 บาท)

        ซึ่งราคานี้จะได้ของครบชุดเลยทั้งโต๊ะและอุปกรณ์ประกอบทั้งชุดได้แก่ ชุดเกจวัดความสูงดอกเร้าเตอร์ สวิทช์โต๊ะสำหรับเร้าเตอร์และเครื่องดูดฝุ่น ตัวชนไม้แบบพับได้ ตัวปรับรั้วแบบละเอียดมาก หวีกดไม้ (featherboard) อีก2อัน และลูกล้ออีก1ชุด ไม่มีก็แต่ Router Lift น่ะครับเพราะผมดูแล้วเอามาใช้ในบ้านเรายังไม่ได้หากไม่ซื้อเร้าเตอร์มาด้วย (เร้าเตอร์ที่อเมริกาใช้ไฟฟ้า 110v) เนื่องจากยังไม่มีเร้าเตอร์รุ่นที่ติดตั้งได้ขายในบ้านเรา

       เมื่อดูของที่จัดโปรเทียบกับเงินที่ต้องจ่ายแล้วผมว่าคุ้มมาก เลยไม่รอช้าให้ซื้อแล้วส่งมาเลยละครับ เพราะผมเคยดูราคาหากสั่งเข้ามาเอง เป็นโต๊ะเร้าเตอร์ของ Rockler ก็น่าจะประมาณ 4x,xxx- บาท เลยไม่ได้สนใจ (ก็เคยมีแอบชอบๆอยู่เหมือนกัน) แต่แค่ค่าขนส่งอย่างเดียว มันก็แพงเกินเอื้อมแล้ว

       พอมาได้ราคาโปรจาก KREG แบบนี้เลยอดใจไม่อยู่ เพราะถ้ารวมราคาชิ้นส่วนที่จะสั่งเข้ามาเพื่อเอามาทำโต๊ะเองรวมค่าขนส่งและภาษีแล้วก็หลักหมื่นอยู่เหมือนกัน ขออนุญาตเล่นทางลัดเลยดีกว่า ช่วยให้ผมลดเวลาการสร้างช็อปไปได้เยอะเลย และก็ไม่ได้แพงไปกว่าที่จะซื้ออุปกรณ์มาทำเองมากเท่าไร หนำซ้ำยังได้ของคุณภาพจาก KREG อีก ที่ผมชอบคือรั้วแบบ T-Style ที่เหมือนกับรั้วตัดของน้องฮาร์วี่ย์

      ถ้าไม่เอาตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาตอนไหนแล้วละครับ คงไม่ว่ากันนะ อิอิ

น้องฮาร์วี่ย์ 61:

      ซอยไม้แอชเพื่อนำมาทำเป็นไม้ปิดขอบโต๊ะฯทั้ง 4 ด้าน หลังจากที่เอาไปรีดด้วยเครื่องรีดแล้วเอาไปไสชิดต่อด้วยเร้าเตอร์เพื่อจับฉากให้ได้ด้านหนึ่งก่อน แล้วจึงเอาไปทำอีกข้างด้วยโต๊ะเลื่อยโดยเอาด้านที่ไสชิดแล้วสไลด์ไปตามรั้วตัดและให้ใบเลื่อยกัดที่ขอบอีกด้านของไม้จะทำให้ได้ขอบไม้ที่เรียบพอสมควร เอาแป้นขัดกระดาษทรายละเอียดลูบๆสัก  2-3 ทีก็ทำให้ได้ผิวที่เรียบเหมือนกับที่ทำด้วยเร้าเตอร์เลยละครับ สุดท้ายจึงทำให้ได้ไม้ที่ได้ฉากทั้ง 2 ด้านและมีขนาดหน้ากว้างเท่ากันตลอดทั้งแผ่น

      ทำไปทำมาผมอาจจะยังไม่ต้องพาน้องจอย (Jointer) เข้าช็อปผมแล้วก็ได้หากไม่ได้ไสชิดไม้เกิน 2-1/2นิ้ว เพราะโต๊ะเร้าเตอร์ของ KREG ที่ได้มาใหม่ก็มี feature ที่ปรับเป็นเครื่องใสชิดได้เลยโดยไม่ต้องทำจิ๊กอะไรให้ยุ่งยาก หรือจะทำด้วยเร้าเตอร์มือแบบที่ผมทำงานนี้ก็ไม่ยากอย่างที่คิด และดูเหมือนว่าผมก็เริ่มถนัดกับการทำด้วยเร้าเตอร์และโต๊ะเลื่อยแล้วเหมือนกัน นอกจากนี้ผมก็กะว่าจะทำจิ๊กสำหรับน้องฮาร์วี่ย์เพื่อใช้เป็นเครื่องไสชิด โดยใช้ร่วมกับรั้วตัดของน้องฮาร์วี่ย์ด้วยเหมือนกันเพราะมีแบบอยู่แล้ว เท่าที่ดูก็เข้าท่าดี

      ผมซอยไม้ให้หนากว่าพื้นโต๊ะฯ เล็กน้อยด้วยน้องฮาร์วี่ย์ เมื่อซอยไม้ได้ขนาดตามต้องการทั้ง 4 ท่อนแล้วก็เอาไปตัดปลายด้วยมุม 45องศาเพื่อใช้ในการต่อชนไม้ขอบโต๊ะฯด้วยเลื่อยองศาสไลด์ และผมก็ใช้น้องฮาร์วี่ย์นี่แหละครับเป็นโต๊ะประกอบพื้นโต๊ะรับไม้อีกทีโดยเอาแผ่น MDF ที่ตัดไว้แล้วตอนทำพื้นโต๊ะรับไม้นี่แหละมารองก่อนเพราะผิวมันเรียบดี (ท่าทางจะได้ทำงานสารพัดประโยชน์เหมือนกันนะน้องฮาร์วี่ย์) เนื่องจากโต๊ะงานไม้ผมยังไม่ว่างนะครับเพราะยังต้องวางเลื่อยตัดองศาสไลด์เพื่อทำงานอยู่

น้องฮาร์วี่ย์ 62:

        หลังจากซอยไม้ปะขอบด้วยน้องฮาร์วี่ย์และตัดมุม 45 องศาด้วยเลื่อยองศาสไลด์ทั้ง 4 ด้านเรียบร้อบแล้ว ผมก็ทดลองนำมาประกบกันจริงๆเพื่อดูว่ามันจะเข้ามุมกันได้แนบสนิทดีไหม และลองใช้แคล้มป์บีบดูเพื่อความแน่ใจ หลังจากที่ปรับอยู่สักพักเมื่อชนกันได้พอดีแล้วจึงทำเครื่องหมายจุดที่จะเจาะใส่แผ่น biscuit ที่ขอบโต๊ะฯ กับไม้ปะขอบด้วยเครื่อง Biscuit Jointer ของ Makita ที่ผมว่ามันช่วยงานผมได้มาก ทำให้ผมสามารถทำงานยากๆ(สำหรับผม)ลุล่วงไปได้ หากต้องเลือกว่าเครื่องมือชิ้นไหนเป็นชิ้นโปรดของผมที่ผ่านมาละก็ ผมยกให้เจ้า biscuit jointer ไปเลยละครับ

       ขนาดของแผ่น Biscuit ที่ผมจะใช้เป็นเบอร์ 20 ของ Hafele ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หลังจากที่ทำเครื่องหมายทั้งบนโต๊ะฯ และไม้ปะขอบให้ตรงกันแล้วจึงทำการเจาะทีละด้านตลอดแนว โดยเจาะที่ขอบโต๊ะฯให้หมดก่อน แล้วจึงมาเจาะที่ไม้ปะขอบทีหลัง โดยทำอย่างนี้ทีละด้านจนครบทั้ง 4ด้าน

น้องฮาร์วี่ย์ 63:

        ร่องที่เจาะด้วย Biscuit Jointer ทั้งที่ขอบพื้นโต๊ะฯ และที่ไม้ปะขอบจะตรงกันตามตำแหน่งที่ผมได้ทำเครื่องหมายไว้ เมื่อเจาะร่องเสร็จทั้งหมดแล้วผมก็เริ่มกรรมวิธียึดกันด้วยกาวลาเท็กซ์นี่แหละครับ โดยทาให้ทั่วทั้งที่ผิวหน้าของด้านที่จะประกบกัน และในร่องที่เจาะไว้ด้วย Biscuit Jointer

        ด้วยคุณสมบัติของแผ่นไม้ Biscuit คือเมื่อโดนกาวแล้วมันจะพองตัวเองขึ้นภายในร่อง ทั้งนี้เนื่องจากความชื้นของกาวจะทำให้แผ่นไม้ Biscuit ที่ถูกอัดมาด้วยแรงอัดสูงตอนผลิตพองตัวจนแน่นในร่องทั้ง 2 ฝั่งซึ่งจะทำให้มีการยึดกันได้แน่นหนาและแข็งแรงมาก

      การเว้นระยะของการเจาะร่องใส่ Biscuit ในโครงการนี้ผมเจาะใส่ทุกระยะ 6 นิ้วเลย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้มันมั่นคงแน่นหนาแข็งแรงมากกว่าปกติ เนื่องจากจะต้องมีด้านหนึ่งที่จะต้องยึดต่อกับแผ่นไม้สำหรับติดบานพับเปียโนฝั่งพื้นโต๊ะฯด้วย จึงทำให้ผมใส่แผ่น Biscuit ให้ถี่ขึ้นหน่อย ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เชี่ยวชาญที่ผมเคยดูในวิดีโอเขาแนะนำให้ใส่ที่ทุกๆระยะ 8 นิ้ว แต่งานนี้ผมขอใส่ทุกๆ 6 นิ้วเลยเพื่อความชัวร์

     การพองตัวเมื่อโดนความชื้นของแผ่น Biscuit นี่เองที่เป็นข้อควรระวังคือเมื่อซื้อมาและเปิดถุงหรือกล่องแล้วใช้ไม่หมดต้องเก็บไว้ในกระป๋องหรือภาชนะที่กันความชื้นได้ และเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น ห้ามทิ้งไว้ให้โดนอากาศโดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีความชื้นสูง จะทำให้แผ่น Biscuit พองตัว และทำให้เสื่อมสภาพ เมื่อจะนำไปใช้อีกครั้งจะใส่แผ่น biscuit ลงไปในร่องที่เจาะไว้ด้วยเครื่องมือมาตรฐานได้ยาก หรือหากพองมากๆอาจใส่ไม่ลงเลยก็ได้  

     ส่วนผมเองเก็บไว้อย่างดีในกล่องพลาสติคพิเศษ Lock-n-Lock ที่เป็นกล่องพลาสติคแบบผนึกแน่น (sealed box) ความชื้นไม่สามารถผ่านเข้าไปได้หรือได้ก็น้อยมากๆ และยังใส่วัสดุดูดความชื้นไว้ในกล่องอีกด้วย ผมซื้อมาปีกว่าๆแล้วเปิดออกมาใช้คุณภาพก็ยังคงเหมือนเมื่อซื้อมาใหม่ๆเลย

น้องฮาร์วี่ย์ 64: 

     ติดกาวเรียบร้อยแล้วใช้แคล้มป์บีบระหว่างรอให้กาวแห้งข้ามคืน ผมใช้แคล้มป์ของ Crossman ขนาด 50 นิ้ว 8 อันแทน แคล้มป์ท่อ (Pipe clamp) เนื่องจากต้องการที่จะหนีบที่ด้านเดียวและไขว้กันได้ ซึ่งแคล้มป์ท่อไม่สามารถทำได้ ต้องหนีบกันคนละด้าน

     แต่เนื่องจากพื้นโต๊ะฯมันค่อนข้างหนักเพราะใช้แผ่น MDF เป็นพื้นด้านบนด้วย จึงไม่อยากยกบ่อยๆเดี๋ยวจะมีผลกับหมอนรองกระดูกที่หลัง จะทำให้อดทำงานไม้ไปอีกนาน เลยต้องถนอมไว้หน่อยครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 65:

          หลังจากบีบแค้มป์และปล่อยทิ้งไว้เพื่อให้กาวแห้ง 1 คืน เมื่อกาวแห้งดีแล้วก็ปลดแคล้มทั้งหมดออก แล้วนำไปลองจัดวางเข้าที่เพื่อทดสอบดูอีกครั้ง ก่อนที่จะนำแผ่นพื้นโต๊ะฯ ไปตบแต่งขอบให้เสมอกันกับพื้นโต๊ะด้วยเครื่องเร้าเตอร์และดอกกัดตรงปลายลูกปืนเพื่อเก็บงานอีกครั้ง

แก่บังเอิญซะจริงเชียวผู้ชายคนนี้.....

คุณ i3ird

       ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกันแหละ บังเอิญเรื่องดีๆก็ยังโอเค อย่าบังเอิญให้ ผบ.จับได้ว่าแอบไปมีกิ๊กก็แล้วกัน 555

น้องฮาร์วี่ย์ 66:

        ใกล้เข้าไปมากแล้วครับ หลังจากทำการปรับผิวไม้ปิดขอบให้เรียบเสมอพื้นผิวโต๊ะฯ ทั้งด้านบนและด้านล่างพอประมาณด้วย เร้าเตอร์ แล้วก็ลงกระดาษทรายเล็กน้อยเพื่อเก็บงานขั้นต้น จากนั้นผมก็นำไม้สำหรับยึดบานพับมาทาบกับไม้ยึดโต๊ะฯ และติดบานพับเปียโนแบบชั่วคราวก่อน

        ผมตัดบานพับเปียโนที่มาเป็นม้วนยาว 3 เมตรให้ได้ขนาดตามต้องการด้วยกรรไกรตัดเหล็กปลายตัดตรง ส่วนแกนก็หักด้วยคีมล็อคอีกที เมื่อได้ขนาดแล้วก็ทำการยึดด้วยสกรูชั่วคราวก่อน โดยผมเว้นช่องไฟระหว่างปลายไม้ทั้งสองแผ่นที่ยึดบานพับไว้ 1/16 นิ้ว เพื่อกันไม่ให้ปลายไม้งัดกันเอง

       สำหรับบานพับเปียโนนี่ผมค่อนข้างทึ่งกับความสามารถในการรับน้ำหนักของมันมาก เพราะขนาดมันก็ไม่ได้ใหญ่แถมบางๆอีกต่างหาก ทั้งนี้ก็คงทำให้บางเพื่อให้เราสามารถตัดตามความยาวที่ต้องการได้โดยง่ายนั่นเอง แต่ด้วยที่มันมีความยาวมาก และยึดยาวตลอดความยาวของไม้ที่เราจะใช้ เลยทำให้มันสามารถเฉลี่ยน้ำหนักไปได้ตลอดความยาวของบานพับ จึงทำให้มันยึดได้แน่นหนาและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก นอกจากนี้มันยังมีจุดให้ยึดสกรูถี่ขนาดที่มีทุกๆ 6 ซม.ตลอดแนวความยาวของบานพับเปียโน ทำให้ผมมีสกรูที่ต้องยึดฝั่งละ 17ตัวเลยทีเดียว

น้องฮาร์วี่ย์ 67:

       ยึดสกรูไว้ชั่วคราวก่อนเพื่อทดลองติดตั้งเข้ากับน้องฮาร์วี่ย์ โดยผมยังไม่ได้ยึดไม้ยึดบานพับติดกับพื้นโต๊ะ เพราะไม่อยากผิดพลาดต้องเจาะหลายรู ก็เลยใช้แคล้มป์บีบแทนชั่วคราว และลองพับขึ้นลงเพื่อทดสอบก่อน   ผลปรากฎว่าขนาดต่างๆที่วัดไว้ตรงตามที่กำหนดไม่มีอะไรทำให้ต้องตื่นเต้น  โดยเฉพาะความยาวของพื้นโต๊ะรับไม้ เมื่อพับลงจะต้องให้เหลือช่องว่างระหว่างพื้นโต๊ะกับพื้นโรงรถ 1-1/2 นิ้ว ผมวัดแล้ววัดอีก ก่อนตัดพื้นโต๊ะให้ได้ขนาดตามต้องการและจะต้องเผื่อไว้สำหรับไม้ปิดขอบด้วย  

       จากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนกาารปิดแผ่นวิเนียร์ที่ด้านบนของตัวไม้คานที่ยึดติดกับน้องฮาร์วี่ย์ และเอาไม้โครงยึดบานพับไปรีดให้ได้ความสูงเมื่อรวมกับพื้นโต๊ะแล้วจะต่ำกว่าพื้นคาน 1/32 นิ้ว ทั้งนี้ก็เพื่อที่เวลาสไลด์ตัด ไม้จะได้ไม่ติดขอบของโต๊ะรับไม้ ซึ่งทำให้ผมต้องถอดไม้ที่ยึดบานพับใต้โต๊ะออกไปรีด เพื่อให้ได้ระดับที่ต้องการ

      นอกจากนี้ส่วนของขอบโต๊ะผมก็ยังไม่ได้ลบมุม แค่เอากบไสๆออกเพื่อกันไม้แตกเท่านั้น จะรอเอาไว้ทำหลังจากที่ประกอบเรียบร้อยทุกอย่างแล้วพร้อมๆกับการทำ Miter slot บนพื้นโต๊ะ   

     ดังนั้นลักษณะของโต๊ะรับไม้ เมื่อไม่ได้ใช้งานก็จะถุกพับลง ดังรูปที่เห็นละครับ ทำให้สามารถนำรถเข้ามาจอดได้ ส่วนเมื่อจะใช้งานจึงค่อยยกขึ้น และจะมีขาโต๊ะที่พับเก็บไว้ กางออกมารับโต๊ะอีกที ถึงตอนนี้เท่าที่ดูก็น่าจะพอใช้ได้ครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 68:

           จากเดิมที่ผมตั้งใจว่าจะใช้ชุดขาพับโต๊ะญี่ปุ่น (รูปบน) มาเป็นตัวยึดขาโต๊ะที่พับได้ แต่ช่วงว่างที่ไม่ได้เข้าช็อปเพราะเป็นวันหยุดของชาวบ้านเขาได้แต่เข้าไปเก็บของและก็ดูว่าส่วนที่ผมจะต้องทำต่อมีอะไรบ้างจะทำด้วยวิธีใดจะได้เอามาคิดไว้ก่อน

          ผมก็เลยมาเปิดดูสินค้าใหม่ๆที่ Thaicarpernter.com เจอชุดแขนพับชุบโครเมื่ยมขนาด 12 นิ้ว(รูปล่างสุด) น่าสนใจเพราะดูแล้วน่าจะแข็งแรงมากกว่าชุดขาพับโต๊ะญี่ปุ่นเนื่องจากขาโต๊ะรับไม้ผมจะค่อนข้างยาว ประมาณ 32 นิ้วเนื่องจากโต๊ะสูงเกือบ 34 นิ้ว 

         ชุดแขนพับแบบที่เจอใหม่นี้น่าจะนำมาประยุกต์ให้ใช้งานกับโต๊ะรับไม้ของผมได้ดีกว่าและดูแล้วน่าจะแข็งแรงมั่นคงแน่ๆเลย  ผมเห็นว่ามันมีตัวปลดล็อกด้วยเพื่อล็อคหรือปลดล็อค และยังมีแขนยึด 45 องศาอีกด้วย ทำให้ผมเปลี่ยนใจที่จะมาใช้ตัวนี้แทน

         ผมสั่งซื้อไปแล้ว 2คู่ คงรอให้คุณอนุชิตส่งมาให้ก่อนในสัปดาห์หน้า น่าจะทันพอดีที่ผมจะทำส่วนอื่นๆไปก่อน แล้วจะได้ทำส่วนขาเป็นงานสุดท้ายซึ่งผมเองก็เปลี่ยนแบบขาโต๊ะที่ผมจะทำใหม่แล้วด้วยครับ เดี๋ยวรออุปกรณ์ฟิตติ้งมาก่อนค่อยตัดไม้ให้ได้ขนาดทีเดียวเพราะยังไม่เห็นตัวจริงเลยยังไม่กล้าทำเพียงแต่คิดไว้ก่อนว่าจะทำออกมาในรูปแบบไหนเท่านั้น

 คุณป้อม

    น่าทึ่งนะครับที่ฟังไม่ออกแต่ยังดู รู้เรื่อง นับถือๆ

   มีหลายอย่างที่ดูแล้วอยากทำ แต่ไม่ได้ลองทำ เพราะแปลไม่เป็นนี่ละครับ ที่อยากลองทำ มันอาจเป็นรายได้เสริมก็ได้ครับ ตอนนี้มี่แต่จ่ายครับ ค่อนข้างแพงด้วย (ค่าวัสดุ อุปกรณ์)

รีบหน่อยครับพี่เอ็มตกไปหน้าสองแล้ว555

ยิ่งดูยิ่งสุดยอด ผมว่างานนี้รถพี่อาจถูกเนรเทศไปอยู่นอกบ้านแน่เลยครับ

คุณi3ird,

      กลับมาแล้วครับหลังจากติดธุระซะนานเลยและก็ไม่ได้เข้าเว็บบอร์ดด้วย ช็อปนี่ปิดสนิทไม่ได้เปิดเป็นสัปดาห์เลย และต้องขอขอบคุณที่โทรมาชวนไปดูอบรมงานสีที่โรงงานด้วยครับ แต่ยังไม่ว่างจริงๆ ขอไปรุ่นสุดท้ายแล้วกันนะครับ

คุณ sornid

      รถผมน่ะไม่อีกหน่อยละครับ โดนเนรเทศให้ออกไปจอดหน้าบ้านมาตั้งแต่ 3 เดือนที่แล้วๆครับ

     หลังจากกลับมาก็ยังไม่ได้ทำงานต่อ แต่ต้องทำคอกสำหรับสมาชิกใหม่ตัวที่เป็นค่าปิดปาก(เอ้ย...ค่าชดเชยนั่นแหละครับ) เด็กชายที่เพิ่งจะไปรับมาดูแล อายุ 84วัน ให้ชื่อว่า Neymar สายพันธุ์ Miniature Schnauzer สี Black and Silver ครับ มันน่ารักซะจน ผบ.ทบ. ลืมเรื่องเครื่องมือของผมไปเลย 

     คอกที่ผมทำขึ้นผมใช้ไม้ระแนงมาทำ ความสูงเท่ากับ 30.50 ซม. (12 นิ้ว) และมีความยาวด้านละประมาณ1 เมตร ติดด้วยบานพับแบบถอดได้เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้าย เมื่อเสร็จแล้วทำให้คอกมีขนาดประมาณ1x1 เมตร

     การยึดติดกันนั้น ผมไม่ได้ใช้กาวหรือสกรูในการติดแต่อย่างใด แต่ใช้การยิงด้วยตะปูจากปืนลมอย่างเดียว เสร็จแล้วก็ทาด้วยTeak Oil เท่านั้น ทั้งนี้เผื่อเอาไว้ว่าเมื่อเขาโตขึ้นและไม่ต้องใช้คอกแล้ว ก็จะเอาไปทำรั้วประดับสวนปลูกต้นไม้ต่อไป

    ส่วนงานในช็อปของผมเดี๋ยวจะกลับไปทำต่อครับ น้องฮาร์วี่ย์เองก็เหลืองานอีกไม่มาก เหลือทำขาโต๊ะรับไม้ และ Miter slot บนพื้นโต๊ะเท่านั้น หลังจากเสร็จแล้วก็จะทำ Zero clearance insert plate ต่อเป็นอันสุดท้าย ก็จะเสร็จและเพียงพอที่จะใช้งานได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายขึ้นละครับ จะได้กลับไปทำช็อปในฝันต่อไป

น้องฮาร์วี่ย์ 69: 

        ผมลดขนาดของคานยึดน้องฮาร์วี่ย์ลงเหลือหน้ากว้างแค่ 2-3/4 นิ้ว ทั้งนี้เพื่อให้ยื่่นออกมาแค่พอติดบานพับได้ (ประมาณ 7/8 นิ้ว) และไม่ติดกับคานเหล็กรูปตัว C ด้านหลังเท่านั้น (ครั้งแรกผมตัดเผื่อขนาดไว้ก่อนประมาณ 4-1/2 นิ้ว)  

       เนื่องจากหากผมทำให้ไม้ติดบานพับบนคานที่มีหน้ากว้างมากๆ จะทำให้เกิดภาระในการรับน้ำหนักกับคานหลังมากเกินไป จากเหตุผลดังกล่าวทำให้การซอยไม้ครั้งสุดท้ายจึงเหลือพื้นที่ด้านบนที่จะต้องติดแผ่นลามิเนตแค่  2-1/4 นิ้วเท่านั้นเอง

      การติดแผ่นลามิเนตขนาดนี้ขึงไม่เป็นปัญหาสำหรับผม เพราะสามารถปาดกาวยางได้ทัน จึงทำให้มันเรียบดีใช้ได้เลย หลังจากติดแผ่นลามิเนตแล้ว ผมใช้ทริมเมอร์ตัดแต่งขอบให้เรียบร้อย ก่อนที่จะติดตั้งจริงแล้วละครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 70:

      หลังจากตบแต่งแผ่นลามิเนตคานต้านบนเสร็จแล้ว ผมติดตังเข้าที่เพื่อทดสอบขั้นสุดท้ายก่อนที่จะติดตั้งจริงต่อไป

น้องฮาร์วี่ย์ 71:

       หลังจากที่ปรับระดับต่างๆเข้าที่แล้ว จึงติดตั้งจริงเข้ากับเหล็กรางหรือคานหลังด้วยสกรูและแหวน #10 จำนวน 6 ตัว และทดลองพับดูเพื่อตรวจสอบระดับต่างๆว่าตรงดีและเวลาพับลงก็ต้องไม่ติดอะไร ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 72: 

          เมื่อฝั่งน้องฮาร์วี่ย์ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ผมก็มาทำฝั่งโต๊ะรับไม้ต่อด้วยการยึดแผ่นคานเข้ากับตัวโต๊ะด้านใต้ด้วยสกรูทั้งหมด 8 ตัว แล้วจึงยึดสกรูที่เหลือกับบานพับเปียโนจนครบฝั่งละ 17 ตัว

น้องฮาร์วี่ย์ 73:

         ทดสอบอีกครั้งด้วยการเลื่อนไม้ไปยังโต๊ะรับไม้เหมือนการตัดจริง

น้องฮาร์วี่ย์ 74:

          หลังจากเสร็จแล้วหน้าตาออกมาประมาณนี้แหละครับ ส่วนบนโต๊ะรวมถึงใต้โต๊ะยังปิดริมขอบแผ่นลามิเนตไว้ด้วยเทปกาวเพื่อรอการเก็บรายละเอียดด้วย Wood Filler เล็กน้อยก่อนที่จะขัดและรอการลงแลคเกอร์ด้านต่อไป

น้องฮาร์วี่ย์ 75:

         รูปใกล้ๆอีกหลายๆมุม โดยอีกปลายยังค้ำยันไว้ด้วยม้าเลื่อยไม้(เมื่อยกโต๊ะขึ้นเพื่อใช้งาน) เนื่องจากยังไม่ได้ทำขานั่นเอง ถึงเวลาที่จะต้องกลับมาทำต่อให้เสร็จแล้วละครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 76:

         ทำร่อง Miter ให้กับ Miter bar ที่ติดอยู่ใต้ Miter gauage โดยเริ่มด้วยการกำหนดขนาดความกว้าง และความลึกให้มกกว่า Miter Slot ของน้องฮาร์วี่ย์เล็กน้อย โดยผมตีเส้นต่อจาก Miter slot มายังพื้นโต๊ะรับไม้

        เมื่อได้ขนาดของ Miter Slot แล้ว ผมทำจิ๊กเพื่อใช้งานเฉพาะกิจด้วยแผ่นไม้อัดขนาด 20 มม. 2 แผ่น โดยเลือกเอาด้านที่ตัดมาจากโรงงานเป็นด้านอ้างอิงมีความยาวประมาณ 24 นิ้ว และหาเศษไม้ระแนงที่เหลือจากการทำคอกสุนัขมาอีก 2 แผ่น นำมายิงด้วยปืนยิงตะปูฝั่งละ 2-3 ตัวพออยู่

        งานนี้ผมจะใช้ดอกเร้าเตอร์แบบที่เรียกว่า Pattern/ Template bit มาเดินตามจิ๊กเพื่อทำร่อง (Miter Slot) บนพื้นโต๊ะรับไม้ ที่ผมสั่งซื้อมาจากต่างประเทศนานแล้ว (จริงๆแล้วถ้าไม่มีดอกแบบนี้ก็สามารถทำได้ด้วยการใช้ดอกกัดตรงที่ไม่มีลูกปืนคู่กับตัว Guide Bushing ที่จะให้มากับเครื่องเร้าเตอร์อยู่แล้วเพียงแต่ว่าจะต้องปรับเพิ่มเผื่อชดเชยช่วงห่างระหว่าง ปลายดอกเร้าเตอร์กับ Guide bushing ด้วยซึ่งจะยุ่งยากกว่านิดหน่อย)

น้องฮาร์วี่ย์ 77:

       ดอกเร้าเตอร์หรือทริมเมอร์แบบ Pattern bit ช่วยให้ผมไม่ต้องใช้ Guide Bushing และดอกกัดตรง มาเดินตามร่องจิ๊กซึ่งจะต้องมีการปรับตั้งที่ยุ่งยากกว่า เพราะต้องเผื่อความหนาของ Guide Bushing กับร่องห่างระหว่างดอกกัดกับ Guide Bushing ไว้ด้วย

       ดอกทริมเมอร์แบบ Pattern bit ที่ผมใช้มีขนาดแกน 1/4 นิ้ว จะมีลูกปืนอยู่ที่คอ (ต่างจากดอก Flush Trim bit ที่มีลูกปืนอยู่ที่ปลาย) และเป็นดอกที่มีขนาดผิวของลูกปืนภายนอกเท่ากับคมตัดของดอกทริมเมอร์พอดี   ทำให้ไม่ต้องตั้งหรือเผื่ออะไรในการทำร่องด้วยจิ๊ก แค่เดินลูกปืนไปตามขอบในของจิ๊กทั้ง  2 ด้านเท่านั้นก็พอ

       ผมเอาแคล้มป์หนีบจิ๊กไว้กับพื้นโต๊ะทีละแนว แล้วทำการกัดร่องบนพื้นโต๊ะฯ โดยเดินร่องละ 2 รอบด้วยเครื่องทริมเมอร์ เมื่อเสร็จร่องหนึ่งแล้วจึงย้ายจิ๊กไปทำอีกร่องในลักษณะเดียวกัน จนได้ครบทั้ง 2 ร่อง

       แต่ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวผมเอง และเครื่องมือต่างๆที่ใช้ รวมถึงน้องฮาร์วี่ย์ด้วย เพราะร่องที่จะกัดนั้นจะอยู่ระดับเดียวกับรางเหล็กด้านหลัง ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะพลาดแล้วดอกเร้าเตอร์ไปกัดโดนเอารางเหล็กเข้าจะทำให้เกิดอันตรายได้ ทำให้ผมต้องตัดสินใจถอดโต๊ะรับไม้ทั้งหมดออกจากน้องฮาร์วี่ย์อีกครั้ง เพื่อทำงานนี้ละครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 78:

        ทำ Miter Slots บนโต๊ะรับไม้เสร็จแล้วครับ ตบแต่งผิวด้วยกระดาษทรายรอบๆโต๊ะส่วนที่เป็นไม้ เพื่อที่จะเตรียมไว้ลงแลคเกอร์บริเวณที่เป็นไม้และไม่ได้ปิดผิวด้วยแผ่นลามิเนต คงจะลงสัก 2 เที่ยว (ไหนๆก็ถอดออกมาแล้วทำซะเลย) เมื่อเสร็จแล้วจึงค่อยประกอบกลับเข้าไปใหม่ 

      งานโต๊ะรับไม้ที่ยังเหลืออยู่เป็นงานสุดท้ายคือการทำขาโต๊ะอีก 2 ข้าง ผมเองก็คิดมานานหลายสิบวันแล้วว่าจะทำแบบไหนดี เนื่องจากผมต้องการให้ขาโต๊ะทั้ง 2 ข้างที่พับเก็บเมื่อไม่ได้ใช้งานจะต้องอยู่ใต้โต๊ะพอดี แต่ปัญหาก็คือขาโต๊ะยาวประมาณ 31-1/2 นิ้ว มันจะยาวกว่าพื้นโต๊ะที่พับลง (ความยาวของโต๊ะฯจะถูกจำกัดด้วยความสูงเมื่อพับลง) จะต้องไม่ติดพื้น ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 25-27 นิ้ว ดังนั้นตัวโต๊ะฯจึงสั้นกว่าขา  จึงทำให้ขาจะไม่สามารถพับอยู่ใต้โต๊ะฯได้ หากขาโต๊ะไม่สามารถสไลด์ยืดหรือหดได้นั่นเอง

      ผมก็คิดไว้อยู่หลายวิธีเหมือนกันทั้งแบบง่ายๆ หรือแบบยากๆเลยแต่มันจะแข็งแรงกว่า หากท่านใดมีไอเดียอะไรเจ๋งๆ เอามาแชร์กันได้นะครับเผื่อผมจะถูกใจจะขอเอาไปเป็นแบบบ้าง 

      ระหว่างรอบทสรุปเรื่องขาโต๊ะ ผมจะไปทำ Zero Clearance Insert Plate ก่อนดีกว่า เพราะผมคิดว่าน่าจะทำได้ง่ายกว่าครับ และระหว่างที่โต๊ะฯยังไม่มีขาก็ใช้ม้าเลื่อยไม้รองโต๊ะฯไปพลางๆก่อนชั่วคราวครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 79:

         หลังจากถอดโต๊ะรับไม้ออกมาเพื่อทำ Miter Slot บนพื้นโต๊ะฯเสร็จแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสเก็บงานด้วยกระดาษทรายและลงแลคเกอร์ด้านซะ 2 รอบ เพื่อป้องกันความชื้นให้กับเนื่้อไม้ส่วนที่ไม่ได้ปิดแผ่นลามิเนตทั้งหมดรวมถึงไม้ปิดขอบโต๊ะด้วยทุกด้าน

        เมื่อถอดโต๊ะฯออกมาแล้วผมเลยตัดสินใจที่จะทำขาโต๊ะไปเลย เพราะจับมันหงายท้องขึ้นมาแล้ว น่าจะได้ทำได้ง่ายกว่าตอนที่คว่ำ  ผมเลยเอาชุดแขนพับชุบโครเมียมที่สั่งมาจาก Thaicarpenter.com มาลองทาบดูเพื่อหาตำแห่งที่เหมาะสมในการติดตั้ง เมื่อได้แล้วก็เขียนตำแหน่งต่างๆลงไปบนพื้นโต๊ะด้านที่จะติดขาโต๊ะ

        ขาโต๊ะที่ผมทำน่าจะมีขนาดประมาณ 3"x 3" ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวขอลองไปทดสอบทำขาโต๊ะดูก่อน  ตอนนี้ได้แต่คิดแบบไว้ ถ้าไม่ติดขัดอะไรจะกลับมาเล่าให้ฟังต่อครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 80:

       จากความต้องการของผมที่จะทำขาโต๊ะฯที่ทั้งสามารถพับและยืดหดได้ด้วย ทำให้ผมคิดไว้อยู่หลายวิธีในที่สุดผมก็สรุปว่าจะทำการทดสอบวิธีที่ผมจะใช้ก่อนว่าผมสามารถที่จะทำได้หรือไม่ ซึ่งผมได้เลือกวิธีการทำขาด้วยการล็อกแบบที่เรียกว่า Lock Miter โดยใช้ดอกเร้าเตอร์ชนิดที่มีชื่อเรียกว่า Lock Miter bit และผมก็เลือกที่จะใช้ไม้แอชที่มีความหนา 1/2 นิ้วมาใช้ในงานนี้

       ดอก Lock Miter ชุดที่ผมมีอยู่จะเป็นดอกแกน 1/2 นิ้ว มีทั้งหมด 3 ขนาดตามความหนาของไม้ที่ใช้ทำได้แก่ขนาด 1/2 นิ้ว 3/4 นิ้ว และ 1 นิ้ว ที่สาารถใช้กับไม้ที่หนาได้สูงสุด 1-1/4 นิ้ว ตกลงว่าในที่สุดผมก็เลือกขนาด 3/4 นิ้ว ก็เพราะลองดูแล้วจะไม่ต้องผ่าไม้ เนื่องจากผมได้ลองผ่าดูแล้วด้วยเลื่อยสายพาน เนื่องจากเนื้อไม้แข็งพอควนจะต้องใช้เวลาในการผ่ามาก แล้วยังสูญเสียเนื่้อไม้อีกเมื่อต้องเอาไปรีด เลยสรุปว่าจะใช้ไม้หนา 7/8 นิ้วมาทำการรีดให้ได้ขนาด 3/4 นิ้ว ส่วนขาโต๊ะผมเลือกทำขนาด 3x3 นิ้วเพื่อให้เหมาะกับการใช้ไม้ขนาดดังกล่าว

       แผ่นไม้ที่ผมนำมาใช้ทดสอบเป็นไม้สนหนา 5/8 นิ้ว ซึ่งเดิมใช้ดอก 1/2 นิ้วมาลองทำดู แต่เนื่องจากผมเปลี่ยนใจที่จะใช้ดอก 3/4 นิ้วแทน ทำให้ผมต้องทำการปรับตั้งใหม่หมดกับไม้และดอกเร้าเตอร์ขนาดดังกล่าว

      ตัวอย่างวิธีการทำ Lock Miter ลองดูตามนี้เลยครับ 

      http://www.youtube.com/watch?v=xbJszKqyfBA

      http://www.youtube.com/watch?v=POvBhQo2ivQ

(หมายเหตุ: 6 พ.ย. 2556 - ดอก Lock Miter หรือชื่อภาษาไทยเรียกว่า ดอกเร้าเตอร์เข้ามุมตีลิ้น นั้นปัจจุบันเห็นทาง Thaicarpenter.com ทำออกมาขายแล้ว ลองแวะเข้าไปหาซื้อกันได้นะครับ)  

น้องฮาร์วี่ย์ 81:

         เมื่อตั้งดอกเร้าเตอร์บนโต๊ะเร้าเตอร์เสร็จ(ผมยังใช้โต๊ะเร้าเตอร์ตัวเก่าที่ซื้อมาจาก Thaicarpenter.com นะครับเพราะ Kreg Precision Router Table ตัวใหม่ของผมประกอบตัวโต๊ะเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ติดตัวเครื่องเร้าเตอร์เข้ากับ plate น่ะครับรอไว้เสร็จงานน้องฮาร์วี่ย์ก่อน)

        แต่ผมก็ต้องทำรั้วชั่วคราวขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับโต๊ะเร้าเตอร์ตัวดิมสำหรับการใช้งานเป็นเร้าเตอร์แนวตั้ง โดยผมต้องทำการเปลี่ยนตัวเร้าเตอร์ใหม่ด้วยจากเดิมที่ใช้ Ryobi R500N มาเป็น Makita RP2301FC เนื่องจากเร้าเตอร์ของ Ryobi ไม่สามารถใส่ดอกเร้าเตอร์แบบ Lock Miter ขนาด 3/4 นิ้วได้เพราะติดที่ฐานยึด ตัว Guide Bushing

         เมื่อผมเปลี่ยนตัวเร้าเตอร์และทำรั้วใหม่แล้ว ผมจึงเริ่มทดลองทำขาไม้ตัวอย่างออกมาดูก่อน โดยใช้หวีไม้ (Feather board) เป็นตัวช่วยกดไม้ บริเวณดอกเร้าเตอร์ เนื่องจากการกัดด้วยดอกแบบ Lock Miter นั้นจำเป็นที่จะต้องให้ไม้แนบสนิทกับรั้วและพื้นโต๊ะเร้าเตอร์ตลอดเวลา (ดูเขามาจาก youtube น่ะครับ 555) เพราะหากไม่สนิท ร่องและเดือยจะไม่ตรงกัน ดังนั้นเวลาประกบกันจะมีช่องว่างหรือประกบกันไม่ได้

         ผมลองกัดด้วยดอกเร้าเตอร์และปรับความสูงและรั้วของเร้าเตอร์เพื่อหาระยะที่พอเหมาะอยู่ 2-3 ครั้ง และทดลองกับเศษไม้ 2-3 อันจนเมื่อได้ระยะที่เหมาะสมแล้ว ผมจึงมาทดลองกับไม้ทดสอบ และกัดจนได้ไม้ครบทั้ง 4 แผ่น

        เสร็จแล้วนำมาประกอบเป็นขาโต๊ะ โดยประกบมุมเข้าด้วยกันตามล็อกที่ดอกเร้าเตอร์ทำไว้ ซึ่งดูแล้วก็แน่นหนาดี โดยเฉพาะหากติดด้วยกาวแล้วน่าจะแข็งแรงขึ้นอีกมาก เพราะการล็อคแบบนี้จะทำให้ไม้ที่ประกบกัน จะมีหน้าสัมผัสของกาวมากกว่าการตัด 45 องศาแล้วนำมาประกบกันด้วยกาวเฉยๆ ผมว่ายังน่าจะแข็งแรงกว่าการใช้ลิ่ม (Spline Joint) ด้วยซ้ำ เพราะมันมีส่วนที่ล็อคกันเองด้วย จากไม้ทดสอบที่ผมลองทำขึ้นมาหากผมตัดความหนาของไม้ส่วนเกินออกไปให้เหลือความหนาจริงๆ 3/4 นิ้วแล้ว มุมต่างๆก็จะเข้ากันได้สนิทพอดี

        สำหรับขั้นตอนทำจริง ผมจะต้องผ่าและซอยไม้แอชที่จะนำมาทำขาโต๊ะให้ได้ขนาดจริงๆก่อน ทั้งนี้เนื่องจากแผ่นไม้แอชที่ผมมีอยู่เมื่อไสแล้วจะมีความหนาประมาณ 7/8 นิ้ว แล้วผมจะทำอย่างไรกับขาโต๊ะตัวนี้ รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 82:

       ลักษณะรูปแบบของขาโต๊ะรับไม้ที่ผมจะทำ ที่คิดไว้หน้าตาจะเป็นแบบนี้แหละครับ โดยที่ขาโต๊ะด้านนอกผมจะทำด้วยไม้แอชหนา 3/4 นิ้ว ขนาด 3x 3" นำมาตีมุม 45 องศาแบบ Locked Miter ด้วยดอกเร้าเตอร์ที่ผมใช้ทดสอบตั้งแต่ต้นแหละครับ ส่วนขาด้านในจะเป็นไม้แอชเช่นเดียวกันมีขนาด 1-1/2 x 1-1/2 นิ้ว และตีร่องทั้ง 4 ด้าน เพื่อลดความฝืดของไม้เมื่อต้องสอดเข้าไปในปลอกขาโต๊ะฯที่ทำขึ้น

       ที่ขาด้านในจะเจาะรูฝังตัวหนอนฝังไม้ขนาด M8x20 ไว้ตำแหน่งที่เหมาะสม (เดิมตั้งใจว่าจะใช้ขนาด M10 แต่ยังหาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาทำขายกันหรือเปล่า หากไม่มีคงใช้ขนาด M8 ละครับ) ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะใช้ยึดด้วย ลูกบิด 4 แฉกชนิดมีเดือยเกลียวที่ผมมีอยู่แล้วขนาด M8x70 

      ลูกบิดที่ใช้ผมจะยึดผ่านจากขาด้านนอก ไปยังขาด้านในเพื่อใช้เป็นตัวปรับระดับความสูงต่ำของขาโต๊ะฯ จะทำให้สามารถหดให้สั้นลงตอนพับโต๊ะเก็บ และสามารถยืดออกได้เมื่อยกโต๊ะฯขึ้นใช้งาน ส่วนปลายของขาโต๊ะฯ จะฝังปุ่มปรับระดับขาโต๊ะฯไว้อีกทีเพื่อปรับความสูงต่ำให้ได้ละเอียดให้พื้นโต๊ะได้ระดับตามต้องการ

น้องฮาร์วี่ย์ 83:

            หายหน้าหายตาไปซะเกือบ 1 เดือนเต็มๆ เนื่องจากมีภาระกิจที่ต้องไปทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพและสะสมเอาไว้ซื้อเครื่องมืองานไม้น่ะครับ ทำให้ผมไม่ได้เข้ามาอัพเดท Webboard ซะนานจนหากระทู้ตัวเองแทบไม่เจอ ตอนนี้กลับมาทำงานที่ค้างไว้ต่อไห้เสร็จได้แล้วครับ เมื่อน้องฮาร์วี่ย์เรียบร้อยแล้วจะได้กลับไปทำตู้ในช็อปต่อให้เสร็จเสียทีครับ นานมากแล้วและก็เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนแล้วที่จะครบกำหนดตามที่ตั้งใจไว้

           หลังจากเปลี่ยนเร้าเตอร์ใหม่เป็น Makita RP2301FC แทน Ryobi R500N ที่ไม่สามารถใช้ดอก Lock Miter ขนาด 3/4 นิ้วได้ เนื่องจากเป็นรุ่นเก่าจะติดตัวยึด Guide Bushing ผมนำเร้าเตอร์ตัวใหม่มาติดตั้งใต้โตีะเร้าเตอร์เพื่อทำเป็นเร้าเตอร์แนวตั้ง ทำให้ผมต้องทำรั้วเพิ่มใหม่ด้วย

          เมื่อใส่ดอก Lock Miter ขนาด 3/4 นิ้วแล้ว ผมก็ทำการปรับรั้วที่ทำขึ้นใหม่ เพื่อให้ได้ระดับพอดีตามที่ผู้ผลิตแนะนำ  เมื่อปรับได้ที่แล้วผมเริ่มทดลองทำขาโต๊ะขาแรกดูก่อน โดยตัดแผ่นไม้แอชและรีดให้ได้ขนาดความหนา 3/4 นิ้ว เมื่อรีดเสร็จแล้วก็เอาไปไสชิดด้านข้างด้วยทริมเมอร์กับดอกกัดตรงปลายลูกปืน โดยใช้แผ่น MDF เป็นไกด์ช่วยในการไสชิด เมื่อไสชิดด้านหนึ่งแล้วผมก็เอาไปไสชิดอีกด้านด้วยโต๊ะเลื่อยโดยใช้รั้วตัดเป็นตัวอ้างอิง

          เมื่อทำการรีดและไสชิดแล้ว ผมก็เอาแผ่นไม้แอชไปซอยให้ได้ขนาดหน้ากว้าง 3 นิ้วจนครบทั้ง 8 แผ่น  จากการทำขาโต๊ะขาแรกด้วย Lock Miter งานที่ออกมายังไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ เนื่องจากผมยังไม่มีประสบการณ์มากพอ แต่หลังจากที่ได้ประสบการณ์จากการทำขาแรกแล้ว ทำให้พอมาทำขาที่ 2 งานที่ออกมาก็ค่อนข้างดีเป็นที่พอใจ ขนาดที่ได้ก็ตรงเป๊ะเลย และขอบที่ชนกันก็แนบสนิทพอดี 

น้องฮาร์วี่ย์ 84:

        เมื่อทำชิ้นส่วนขาเสร็จแล้ว ผมก็เริ่มนำมาประกอบเข้าด้วยกันด้วยกาว รอข้ามคืนเพื่อให้กาวแห้งดีก่อน ระหว่างที่รอกาวแห้ง ผมก็ทำชิ้นส่วนขาตัวในไปด้วย

       การทำขาตัวในนั้น ผมทำการซอยไม้ให้ได้ขนาดใหญ่กว่า 1-1/2 นิ้ว เล็กน้อย 2 ชิ้นแล้วนำมาประกบกัน ติดด้วยกาวและบีบไว้ด้วยแคล้มป์รอให้กาวแห้ง

น้องฮาร์วี่ย์ 85:

          ยึดขาที่ประกบกันไว้ด้วยแคล้มป์เพื่อให้รอยต่อจะได้ต่อกันได้สนิท เมื่อกาวแห้งดีข้ามคืนแล้วก็ถอดแคล้มป์ออก แล้วเอาขาตัวในไปรีดให้ได้ขนาด1-1/2 x 1-1/2 นิ้ว ด้วยเครื่องรีด จากนั้นจึงเอาไปเซาะร่องทั้ง 4 ด้านด้วยดอกเร้าเตอร์กัดตรงขนาด 5/8 นิ้ว

น้องฮาร์วี่ย์ 86:

       นำขาโต๊ะด้านนอกไปตัดให้ได้ขนาดตามต้องการด้วยเลื่อยองศาสไลด์  หลังจากที่เซาะร่องขาตัวในด้วยดอกกัดตรงแล้ว ผมก็เอาขาด้านนอกไปลบมุมออกทั้ง 4 ด้านด้วยดอกเร้าเตอร์ลบมุม (Round Over bit)

      เมื่อได้ทั้งขานอกและในที่มีขนาดพอดีที่จะใช้งานได้แล้ว จากนั้นผมก็นำไปเจาะรูด้วยดอกเจาะใบพายขนาด 10มม. เพื่อฝังตัวหนอน M8-20 ทั้งที่ขาตัวในและตัวนอก โดยที่ตัวหนอนที่ขานอกนั้น ผมเอาดอกสว่านลบเกลียวในออกเพื่อไม่ให้เกลียวมันงัดกันระหว่างตัวหนอนตัวนอกและตัวใน เวลาที่ขันเกลียวด้วยลูกบิด 4 แฉกขนาด M8 เข้าไป

น้องฮาร์วี่ย์ 87:

         เกลียวหนอนกับลูกบิด 4แฉก ขนาด M8 ที่ผมใช้ในการยึดขาโต๊ะให้สามารถเลื่อนออกเวลาใช้งานและหดเก็บได้เวลาไม่ได้ใช้งานและพับโต๊ะลงด้านหลังของน้องฮาร์วี่ย์

        ส่วนที่ปลายขาโต๊ะ ผมเจาะด้วยดอกสว่าน เพื่อฝังขาปรับระดับโต๊ะขนาด M10 ไว้ จากนั้นก็ลองประกอบเข้ากับโต๊ะเพื่อจะได้ทดสอบการใช้งานจริง

น้องฮาร์วี่ย์ 88:

       ในที่สุดโต๊ะรับไม้ (Table Saw Outfeed Table) ของผมก็เสร็จจนได้ ผมใช้เวลาในการทำไปทั้งสิ้น 2 เดือนเศษๆ เนื่องจากต้องทำไปหยุดไปนั่นเอง ไม่ได้ประณีตอะไรนะครับอย่าเข้าใจผิด ย้อนกลับไปดูผมเริ่มทำตั้งแต่ ความเห็นที่ 504 โน่นแน่ะครับ นานเหมือนกัน แต่ผลงานที่ได้ออกมาก็เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ หลักๆก็คือสามารถรับไม้ขณะที่ตัดได้ และสามารถยกโต๊ะขึ้นเมื่อต้องการใช้งานได้ เมื่อไม่ใช้งานก็สามารถพับเก็บให้รถสามารถเข้ามาจอดในโรงรถได้ ตรงตามวัตถุประสงค์ในการสร้างครั้งนี้

       ที่จริงรายละเอียดในการทำมีเยอะกว่านี้แต่ก็พยายามตัดให้แค่พอเข้าใจสำหรับมือใหม่ๆเช่นผมหากสนใจที่จะทำขึ้นมาใช้เองบ้าง ส่วนผู้ที่ชำนาญแล้วก็ข้ามๆไปได้ครับ

       จากนี้ไปก็พร้อมที่จะใช้งานน้องฮาร์วี่ได้อย่างเต็มความสามารถแล้วละครับ แต่ต้องหลังจากที่ผมทำอุปกรณ์ประกอบซึ่งจะเป็นชิ้นสุดท้ายเสร็จแล้วน่ะครับ

       อุปกรณ์ประกอบที่สำคัญรายการสุดท้าย เป็นอุปกรณ์ประกอบที่จำเป็นมาก เพื่อที่จะให้งานตัดออกมามีคุณภาพ และมีความปลอดภัยมากกว่าชุดมาตรฐานที่มาจากโรงงาน ได้แก่ Zero Clearance Insert plate (ZCI) นั่นเองครับ

       ผมตั้งใจว่าจะทำไว้ใช้สัก 6อันเลย เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานได้หลากหลายที่จะใช้งานในอนาคต ได้แก่

       1. ใบเลื่อยธรรมดาตัด 90 องศา

       2. ใบเลื่อยธรรมดาตัด 45 องศา

       3. ใบ Dado สำหรับตัดไม้อัด 20 มม.

       4. ใบ Box Joint หรือ Finger Joint 1/2 นิ้ว

       และสำรองไว้ใช้กับใบเลื่อยแบบอื่นๆอีก 2 อัน น่าจะพอครับ

EPISODE 6:

น้องฮาร์วี่ย์ 89: Zero Clearance Insert Plate

     ขั้นตอนการทำ Zero Clearance Insert Plate (ZCI) ผมเริ่มด้วยการเอาไม้แอชหนา 1 นิ้วหน้ากว้าง 5 นิ้วที่ผ่านการรีดและไสชิดมาแล้ว นำมาตัดให้ได้ขนาดยาวกว่า Insert Plate ของโรงงานประมาณ 1/2 นิ้ว ด้วยเลื่อยตัดองศาสไลด์ จากนั้นก็นำไปผ่าครึ่งด้วยเลื่อยสายพาน ด้วยการใช้หวีไม้เป็นตัวช่วยในการตัดเพื่อให้ตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้ได้ไม้ 2 แผ่นที่หนาแผ่นละประมาณ 1/2 นิ้ว ก่อนที่จะนำไปไสและรีดให้เรียบด้วยเครื่องรีดต่อไป จะทำให้ได้ไม้ที่มีความหนาน้อยกว่า 1/2 นิ้วเล็กน้อย

     จากนั้นก็นำแผ่นไม้ที่ได้ไปขัดด้วยกระดาษทรายเพื่อให้ผิวเรียบมากขึ้น ทำให้เวลาปิดแผ่นลามิเนตแล้ว จะได้เรียบสนิทจริงๆ หลังจากนั้นก็ตัดแผ่นลามิเนตสีแดงไฮกรอส ที่ผมเพิ่งซื้อมาใหม่เพื่อใช้กับงานนี้โดยเฉพาะ และก็ทำให้ได้ทราบว่า เจ้าแผ่นลามิเนตสีแดงไฮกลอส นี่มันแพงกว่าสีขาวมันธรรมดาถึง 4เท่าตัวเลย แต่ก็เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน และสีก็สดใสไฮกลอสถูกใจก็ต้องยอมครับ เพราะการใช้สีแดงผมว่ามันจะช่วยเติอนใจเรา ไม่ให้เข้าไปใกล้บริเวณสีแดงโดยเด็ดขาด

    ผมจะปิดแผ่นลามิเนตสีแดง บนแผ่นไม้แอชที่นำมาทำแผ่น ZCI ทั้ง 2 ด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะไม่ให้เกิดการโก่งงอของไม้หากปีดแผ่นลามิเนตด้านเดียว การปิดแผ่นลามิเนตครั้งนี้ผมก็ยังใช้กาวยางของ Dunlop กระป๋องแดงอยู่ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วออกไปทำงาน และพอมีเวลาว่างเล็กน้อยเลยแวะไปบางโพ เพื่อที่จะไปหาซื้อ กาวยาง Dunlop แบบพ่น (กระป๋องสีฟ้า) มาทดลองใช้ดูบ้าง เพราะจะต้องติดแผ่นลามิเนตแผ่นใหญ่ๆตอนทำตู้น่ะครับ แต่ปรากฏว่าขายดีของหมดเลยยังไม่ได้กลับมา ไว้เดี๋ยวว่างๆค่อยแวะไปใหม่

    อย่างไรก็ดี เนื่องจากแผ่น ZCI ที่ทำขึ้นมานั้น มีพื้นผิวขนาดเล็ก ไม่ใหญ่มาก จึงทำให้ผมพอที่จะปาดกาวยางได้ทันก่อนที่มันจะแห้ง เลยไม่มีปัญหาอะไร สามารถทำได้ราบรื่นดี

น้องฮาร์วี่ย์ 90:

      ติดแผ่นลามิเนตสีแดงแปร๊ด (ใกล้เคียงกับสีของ Insert Plate ที่มาจากโรงงานเลย) บนผิวไม้แอชทั้ง 2 ด้าน โดยผมจะทดลองทำดูก่อน 2 อันไม่มีเหตุผลอะไรมาก คือเนื่องจากว่าแผ่นไม้แอชที่ไสแล้วที่มีอยู่ มันหมดพอดี ทำให้เหลือพอที่จะตัดทำได้แค่ 2 อันเท่านั้นเอง ที่เหลือนอกนั้น ก็มีแต่แผ่นไม้แอชที่ยังไม่ได้ตัดและไส ซึ่งหากจะทำเพิ่มคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการไสไม้ เลยทำแค่ 2 อันก่อนแล้วกันครับ ที่เหลือเดี๋ยวค่อยทำทีหลังครับ

      ติดแผ่นลามิเนตทั้ง 2 ด้านเสร็จแล้ว ก็ใช้แคล้มป์บีบอัดไว้ด้วยแรงกดเล็กน้อย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้พื้นผิวของแผ่นลามิเนต ติดสนิทแนบแน่นกับแผ่นไม้จริงๆ จากนั้นจึงจะนำไปตัดขอบลามิเนตส่วนที่เกินออก ด้วยดอกเร้าเตอร์ปลายลูกปืนที่ติตตั้งกับโต๊ะเร้าเตอร์ แบบฟรีแฮนด์โดยไม่ได้ใช้รั้ว อาศัยเพียงลูกปืนที่ปลายของดอกเร้าเตอร์เป็นตัวนำในการตัดเท่านั้น

      ผมตัดขอบแผ่นลามิเนตส่วนที่เกินออก 2 แผ่น ลูกปืนที่ปลายของดอกเร้าเตอร์ก็พังหลุดกระเด็นออกมาเป็นเม็ดๆเลย ทั้งๆที่ดอกนี้ผมเพิ่งจะแกะเอาที่หุ้มกันสนิมออก และนำมาใช้เป็นครั้งแรก (ประเภทดอกชุดในกล่องไม้จากจีน คุณภาพ สุดแย่จริงๆครับ) ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยหาลูกปืนดีๆมาใส่ใหม่ครับ เลยถอดเก็บใส่ถุงไว้ก่อนกันชิ้นส่วนที่เหลือจะหายไปน่ะครับ

      แผ่นไม้ปิดผิวหน้าด้วยแผ่นลามิเนตที่ทำเสร็จแล้ว ถูกปล่อยทิ้งไว้ให้กาวแห้งสนิทดีก่อนสักหนึ่งคืน ก่อนที่จะทำขั้นตอนต่อไป

 ดีใจมาก กลับมาแล้ว

              ติดตามกันต่อไปครัล

คุณป้อม

    ยินดีครับที่กลับมาเยี่ยมเยียนกันอีกครั้ง ผมเองก็ต้องขออภัยด้วยกับทุกท่านที่คอยติดตามอยู่นะครับ หลังหยุดไปเกือบเดือนเต็มๆ

น้องฮาร์วี่ย์ 91:

      หลังจากได้แผ่นไม้แอชปิดผิวด้วยลามิเนตทั้ง 2 ด้านรวม 2 แผ่นแล้ว ผมก็เริ่มทดลองทำแผ่นแรกดูก่อน เพื่อหาเทคนิคที่จะทำแผ่นอื่นๆต่อไป ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะแผ่นแรกที่ทำก็ได้พบข้อที่ควรระวังบางประการเหมือนกัน เก็บเอาไว้เป็นประสบการณ์ในการทำแผ่นอื่นๆต่อไปให้ดีกว่าแผ่นแรกครับ

      เริ่มจากการนำเอาแผ่น Insert Plate ที่มากับน้องฮาร์วี่ย์มาวางทาบบนแผ่น ZCI ที่จะทำและใช้ปากกาวาดรูต่างๆที่จะเจาะลงไปตามรูเดิมที่มีอยู่ จากนั้นก็นำไปเจาะด้วยดอกสว่านและดอก Forstner ที่สว่านแท่น JET ทำให้ได้รูออกมาบนแผ่น ZCI ครบตามต้องการ

      จากนั้นผมก็นำเอาตัวต้าปเกลียวของ Topman ของญี่ปุ่น ที่ซื้อไว้นานแล้วมาทำเกลียวที่แผ่น ZCI เพื่อใส่สกรูตัวหนอนสำหรับใช้ในการปรับระดับของ ZCI ให้เสมอกับพื้นโต๊ะเลื่อยฯ

น้องฮาร์วี่ย์ 92:

       เมื่อต๊าปเกลียวครบทั้ง  4 ตัวแล้วก็นำแผ่น ZCI ไปตัดออกให้ได้ขนาดคร่าวๆตาม แบบของ Insert Plate ที่วาดไว้ด้วยเลื่อยสายพานเพื่อลดภาระของเร้าเตอร์ให้ทำงานน้อยลง เมื่อนำไปตัดให้ได้ขนาดตามต้นแบบต่อไป โดยที่ผมตัดให้อยู่นอกเส้นที่วาดไว้เล็กน้อย

      ต้องยอมรับว่าไม้แอช นี่แข็งมากพอสมควรเลย เพราะขนาดตัดออกด้วยเลื่อยสายพานไปแล้วเอาไปทริมออกด้วยเร้าเตอร์กว่าจะได้ขนาดที่ต้องการก็ต้องค่อยๆทำอยู่หลายรอบเหมือนกัน เป็นเหตุผลที่ผมใช้แผ่นไม้แอชมาทำเพราะชอบเป็นส่วนตัวเนื่องจากแข็งและลายสวย (ผมไม่มีไม้อื่นที่เป็นไม้จริง ใจก็ชอบไม้โอ๊ค กับไม้เชอรี่นะครับแต่ยังไม่มีโอกาสหาซื้อมาใช้มากกว่า)

น้องฮาร์วี่ย์ 93:

     หลังจากที่ตัดตามขอบด้วยเลื่อยสายพานแล้ว ผมก็เอาแผ่น ZCI ติดกับต้นแบบด้วยเทปโฟมกาว  2 หน้า ก่อนที่จะนำไปตัดละเอียดด้วยโต๊ะเร้าเตอร์ต่อไป

     จากที่ทดลองใช้เทปโฟมกาว 2 หน้า ผมว่ามันหนาและติดแน่นเกินไป แกะออกได้ยาก เคยเห็นในต่างประเทศเขาใช้เทปกาวติดพรม (Carpet Tape) กัน เลยลองค้นๆด้วย google ดูเห็นก็มีขายในบ้านเราเหมือนกัน สงสัยคงต้องไปซื้อมาลองใช้ดูบ้างละครับ

น้องฮาร์วี่ย์ 94:

        หลังจากที่ประกบแผ่น ZCI เข้ากับตัว Insert Plate ต้นแบบแล้ว ผมนำไปกัดละเอียดด้วยโต๊ะเร้าเตอร์ที่ติดไว้ด้วยดอกกัดตรงปลายลูกปืน โดยระหว่างกัดจะให้ลูกปืนวิ่งไปตามขอบของ Insert Plate ต้นแบบ ทำให้ผมได้แผ่น ZCI ที่มีขนาดเดียวกันกับแผ่นต้นแบบทุกประการ

       จากนั้นก็เอาไปลองใส่ที่โต๊ะเลื่อยดู ก่อนที่จะนำไปตบแต่งขอบด้วยกระดาษทรายเพื่อให้ได้งานที่เรียบร้อยขึ้นอีกนิดหน่อย

น้องฮาร์วี่ย์ 95:

         หลังจากทำการตบแต่งขอบด้วยกระดาษทรายแล้วผมก็เอาแผ้น ZCI ที่ได้ ใส่เข้าไปในร่อง Insert บนโต๊ะเลื่อย แล้วเอาแผ่นไม้อัดลังเก่าๆที่ไม่ได้ใช้มาวางทับด้านบน เพื่อช่วยให้ร่อง Zero Clearance ที่ได้ออกมาเรียบจริงๆ

         เริ่มทำร่องแผ่น ZCI ด้วยการเดินเครื่องน้องฮาร์วี่ย์ แล้วค่อยๆหมุนเลื่อนใบขึ้นอย่างช้าๆ ให้ใบเลื่อยตัดผ่านแผ่น ZCI ทะลุแผ่นไม้อัดที่กดทับอยู่ด้านบน จนใบเลื่อยอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด จากนั้นก็ลดใบเลื่อยลงจากนั้นปิดเครื่อง แล้วถอดไม้ที่ปิดทับอยู่ออกเพื่อดูผลงาน ซึ่งทุกอย่างก็ออกมาดูดี ร่องที่ถูกตัดด้วยใบเลื่อยก็เรียบดีมาก ไม่มีรอยฉีกขาดแต่อย่างใด

        หลังจากที่ได้ร่องใบเลื่อยบนแผ่น ZCI แล้วขั้นตอนต่อไปก็เป็นขั้นตอนที่จะต้องทำร่อง สำหรับให้ชุดป้องกันใบเลื่อย(Blade Guard) หรือ Riving Knife ของเลื่อยสามารถเลื่อนขึ้นมาได้จนสุดและไม่ติดกับพื้นของแผ่น ZCI ด้านล่าง

        ผมทำโดยวาดตามขนาดของตัวต้นแบบ แล้วนำไปกัดบนโต๊ะเร้าเตอร์ด้วยดอกกัดตรงขนาด 3/8 นิ้ว จากนั้นก็นำมาเก็บงานด้วยสิ่วตามขอบมุมให้เรียบร้อยอีกครั้ง ส่วนร่องสำหรับเสียบ ชุดป้องกันใบเลื่อย หรือ riving Knife นั้นผมใช้ดอกกัดตรงขนาด 3 มม.กัดเพิ่มให้เป็นแนวเดียวกันกับร่องใบเลื่อยที่ทำขึ้นมา

        สิ่งที่ผมชอบกับแผ่นลามิเนตสีแดงไฮกลอส ที่ผมซื้อมาครั้งนี้ก็คือ มันจะเคลือบฟิล์มพลาสติคมาให้ที่ผิวด้านหน้า ทำให้เวลาตัด หรือเจาะจะทำให้ไม่เกิดรอยกับผิวของลามิเนตก่อนที่จะใช้งานจริง เมื่อจะใช้งานจริงจึงค่อยลอกฟิล์มพลาสติคที่เคลือบมาออก ทำให้ได้ผิวที่สวยงามดีจริงๆ แถมยังเงาสดใสแบบไฮกลอสอีก 

น้องฮาร์วี่ย์ 96:

         สิ่งที่ได้ทำเพิ่มอีกส่วนคือการเซาะร่องให้ตัวประกับใบเลื่อยไม่ชนพื้นด้านใต้ของแผ่น ZCI เมื่อตำแหน่งของใบเลื่อยยกขึ้นมาจนสุด ซึ่งในตอนแรกคิดว่ามันจะไม่ขึ้นมาชน จึงยังไม่ได้ทำเอาไว้ แต่เมื่อทดลองยกใบเลื่อยขึ้นจนสุดแล้วมันจะติดเล็กน้อย ทำให้ผมต้องเซาะด้านใต้บริเวณเหล็กประกับใบเลื่อยออกด้วยดอกเร้าเตอร์บนโต๊ะเร้าเตอร์โดยอาศัยรั้วช่วยและทำเครื่องหมายหัว-ท้ายของระยะที่จะทำไว้

        เมื่อได้แผ่น ZCI ที่เก็บงานเสร็จหมดแล้ว จึงนำเอาเกลียวหนอนหัวหกเหลี่ยมขนาด 5x 10 มม. มาใส่ตามตำแหน่งที่ได้เจาะและต๊าปเกลียวไว้แล้ว หลังจากนั้นก็ใส่แผ่น ZCI ที่ทำเสร็จเข้าที่ เพื่อทำการปรับระดับของ แผ่น ZCI ให้ได้ระดับเดียวกับพื้นโต๊ะเลื่อยที่ตัวหนอนที่ฝังไว้ทั้ง 4 จุดด้วยประแจหัวหกเหลี่ยม

น้องฮาร์วี่ย์ 97:

       หลังจากปรับแต่งระดับแผ่น ZCI เล็กน้อย เพื่อให้เท่ากับระดับพื้นโต๊ะเลื่อยพอดีด้วยสกรูหนอนที่ฝังไว้ทั้ง 4 ตัว แผ่น ZCI อันแรกสำหรับใบเลื่อยธรรมดาที่งานตัด 90 องศา ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ผมลอกแผ่นฟิล์มพลาสติคที่เคลือบผิวหน้าแผ่นลามิเนตออก ผิวหน้าของแผ่นลามิเนตที่ได้ก็ดูสดใสสวยงามไม่มีรอยใดๆให้เห็นเลย      

อร่อยเหาะครับ พี M ติดตามอย่างใกล้ชิดทุกวัน + อิจฉาตาร้อน 5555

 คุณจรินทร์

     ผมก็เล่าเรื่องงานไม้ของผมไปเรื่อยๆละครับ แต่คุณจรินทร์พูดยังกับไปกินอาหารเปิบพิสดารมาอย่างนั้นเลย ระวังตาบวมนะครับหากอิจฉาแล้วตาร้อนมากๆ

หายไปนานแต่ไม่หายคิดถึงนะครับ อยากไปชมซะจริงๆ เจ้าาน้องตัวนี้นี่ ขอตีตั๋วเข้าชมหน่อยได้ไม่ครับ

คุณ sornid

        ยินดีต้อนรับเสมอครับ แต่ตอนนี้ยังรกๆอยู่น่ะครับ เอาไว้ตอนทำช็อปเสร็จแล้วจะพาทัวร์เลยครับ